เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ให้ความเห็นกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก หรือที่เรียกสั้นๆว่า “MOUแรร์เอิร์ธ” ว่านายอนุทินเซ็น MOU ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบสหรัฐฯมากขนาดนี้ได้อย่างไร โดนล็อคทุกทาง หนักกว่านั้นคือ ไม่มีแม้แต่การระบุเรื่องสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการแรร์เอิร์ธ ทั้งที่ภาคเหนือกำลังเผชิญปัญหาน้ำเป็นพิษอย่างหนักจากเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัญหาในประเทศยังไม่แก้แต่กลับสร้างปัญหาใหม่เพิ่ม
นายภัทรพงษ์กล่าวว่า ตคำถามอย่างแรกคือ การไปลงนามด้านสันติภาพ แล้วแรร์เอิร์ธ เกี่ยวอะไรด้วย เพราะไม่มีความจำเป็นใด ๆ ในการเซ็น MOU นี้เลย นายกฯบอกว่าได้มีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมาแล้วโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งตนรีบกลับไปย้อนดูสรุปผลการประชุมครม.ทันที เพราะไม่เคยเห็นประเด็นนี้เลยแต่สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องนี้ระบุในสรุปผลการประชุม ครม.
“กรมเหมืองแร่ฯเองก็ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นแรร์เอิร์ธเลย ในที่ประชุมอนุกรรมาธิการมลพิษทางน้ำข้ามแดน กรมฯยังไม่สามารถอธิบายได้เลยว่า การทำเหมืองแรร์เอิร์ธในประเทศเพื่อนบ้านทำด้วยวิธีอะไร ผมต้องไล่อธิบายวิธีทำแบบ In-situ leeching ที่เจาะรูแล้วฉีดสารเคมีลงดินให้กรมฯฟัง ในเมื่อรัฐไทยยังไม่มีความพร้อม แล้วรัฐบาลยอมเซ็นให้ประเทศเสียเปรียบขนาดนี้ได้อย่างไร ใน MOU ฉบับนี้ก็ยังไม่มีการระบุเรื่องการทำเหมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เรากำลังเจอปัญหาน้ำเป็นพิษที่เชียงใหม่และเชียงรายกันอย่างหนัก รัฐบาลทำให้ไทยกลายเป็นแค่หมากในสงครามแรร์เอิร์ธระหว่างจีน-สหรัฐไปแล้ว”สส.เชียงใหม่ผู้นี้ กล่าว
นายภัทรพงษ์กล่าวว่า ที่แย่ขึ้นไปอีก คือแม้แต่กฎหมายภายในประเทศทุกวันนี้ เรายังไม่มีการตรวจสอบ Supply chain ของแร่ที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่นำเข้ามาในประเทศ ผู้นำเข้าไม่ต้องระบุว่าเอามาจากเหมืองไหน และมีการจัดการด้านมลพิษในเหมืองนั้นอย่างไร บอกแค่ว่ามาจากประเทศไหนแค่นั้น นำเข้าได้แล้ว จึงชัดเจนว่า ภายในประเทศเรายังไม่จัดการ ทางแก้ปัญหาเดิมยังไม่มี แต่รัฐบาลกลับเลือกสร้างปัญหาใหม่
สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชนกล่าวว่า MOU ฉบับนี้ถูกบีบเอาไว้หลายประการ คือ 1.ให้สิทธิสหรัฐฯมาวิเคราะห์การขยายพื้นที่และพิกัดของแร่หายากในประเทศไทย 2.หากเจอพื้นที่แร่หายาก สหรัฐฯรู้ก่อนโดยระบุไว้เลยว่า ต้องบอกสหรัฐให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และสหรัฐคาดหวังว่าจะได้โอกาสในการลงทุนก่อนเจ้าอื่นด้วย 3.กระบวนการอนุญาตต่าง ๆ จากผู้ลงทุนของสหรัฐฯ ทั้งจากกฎหมายระดับชาติ หรือ ท้องถิ่น ต้องถูกทำให้รวดเร็วและคล่องตัวมากขึ้นด้วย 4.แม้การยกเลิก MOU ฉบับนี้ถูกระบุให้สามารถทำได้ทุกเมื่อ แต่ ก็ระบุแนบท้ายไว้ด้วยเช่นกันว่า โครงการใด ๆ ที่ตกลงกันแล้วก่อนยกเลิก ให้ยึดถือการดำเนินการตาม MOU ฉบับนี้ต่อ แม้ MOU จะถูกยกเลิกไปแล้ว
“นี่ทรัพยากรของประเทศนะครับ ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาไปต่อรองเพื่อผลประโยชน์แอบแฝงอะไรแบบนี้ ผมไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า รัฐบาลจะยอมเซ็น MOU ที่ประเทศไทยเสียเปรียบทุกทางแบบนี้ โดยไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ เลย การยกเลิก MOU กับประเทศใหญ่ที่มีช่องทางบีบเราได้หลายทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย รัฐบาลทำพลาดมาก หากรัฐบาลจะอ้างว่า MOU ผูกพันทั้งสองฝ่ายเท่า ๆ กันในลักษณะที่ไม่ใช่สนธิสัญญา แต่อ่านถ้อยคำที่ระบุล้วนแต่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายสหรัฐ เพราะฝ่ายไทยไม่สามารถไปลงทุนแรร์เอิร์ธในสหรัฐแน่นอน เพราะการทำแรร์เอิร์ธในทวีปอเมริกาต้องใช้ต้นทุนสูงกว่าฝั่งประเทศเราหลายเท่า เนื่องจากต้องเจาะผ่านชั้นหินแข็ง และโอกาสที่จะเจอ Heavy rare earth ที่มีราคาตลาดสูงมาก ๆ ก็น้อย ส่วนมากจะเป็น Light rare earth ที่มีราคาตลาดต่ำกว่ามาก”นายภัทรพงษ์ กล่าว
นายภัทรพงษ์กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการลงนาม MOU ฉบับนี้ เพราะฉะนั้นจาก MOU ฉบับนี้ ในระหว่างที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลชั่วคราวก่อนยุบสภา รัฐบาลต้องไม่พิจารณาการทำเหมืองแรร์เอิร์ทในประเทศ และห้ามเปิดช่องให้สหรัฐใช้ MOU ฉบับนี้มาบีบให้ไทยต้องเปิดทางการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธภายในประเทศให้กับสหรัฐฯ และเร่งการทำ domestic law ตาม MOU ให้เข้มขึ้นจากการออกกฎหมายลูกต่าง ๆ ตามพ.ร.บ.แร่ ให้เข้มงวด ในระหว่างที่รอการแก้ พ.ร.บ.แร่ เพื่อเพิ่มความรัดกุมรอบด้าน ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมของชาติ
ขณะที่ ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำกกสายรวกโขง กล่าวว่า ขอตั้งสังเกตของ MOU ฉบับนี้ คือ 1.แร่สำคัญหรือ Critical Minerals (CTM)มีอย่างน้อย 60 ชนิด โดยมีแร่หายาก หรือ Rare Earth Elements (REE) เป็น 1 ใน CTM เท่านั้น เราจึงเห็นชัดเจนว่าชื่อของ MOU เน้นไปที่แร่ CTM เนื่องจากครอบคลุมแร่หลายสิบชนิดไม่ว่าจะเป็น แมงกานีส ดีบุก ตะกั่ว พลวง ไปจนถึง REE การทำความเข้าใจ MOU จึงต้องมุ่งเน้นทำไปที่แร่ CTM ทั้งหมด มิใช่แค่ REE เท่านั้น แน่นอนว่า REE มีความสำคัญมากที่สหรัฐฯพยายามเข้าไปยื้อแย่งเอาส่วนแบ่งแร่แรร์เอิร์ทในพม่า ถึงขั้นที่ส่งผู้แทนเดินทางไปเยือนรัฐคะฉิ่นมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่า MOU คือการเปิดฉากอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯในการเข้ามาแสวหาผลประโยชน์จากแร่แรร์เอิร์ทโดยใช้ประเทศไทยเป็นข้อต่อสำคัญของห่วงโซ่อุปทานแร่
ดร.สืบสกุลกล่าวว่า 2. ไทยเป็นผู้นำเข้าแร่CTM จากพม่าอย่างถูกต้องตามกฎหมายอย่างเป็นล่ำเป็นสันตลอดแนวชายแดนไทยเมียนมาจากเชียงรายถึงระนอง คำถามใหญ่คือห่วงโซ่แร่ CTM ที่ไทยนำเข้าจากพม่าเป็นอย่างไร และใครเป็นคนนำเข้า ไทยนำเข้าแร่ CTM แล้วจัดการแปรรูป ส่งออกไปยังประเทศที่สามต่อหรือไม่ อย่างไร CTMที่ปรากฏอย่างเป็นทางการของกรมศุลกากรของไทยนั้น เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปริมาณการนำเข้าแร่ที่แท้จริงเท่านั้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่ามีการนำเข้าแร่ CTM ในประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการ ตามแนวชายแดนไทยเมียนมาจำนวนมาก
3.กองกำลังชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนไทยเมียนมาคือผู้มีส่วนได้เสียสำคัญจากห่วงโซ่อุปทานแร่ CTM จากการเป็นเจ้าของพื้นที่เหมืองแร่ หรือทำเหมืองแร่ด้วยตัวเอง กลุ่มกองกำลังฯหารายได้สำคัญจากเหมืองแร่ CTM ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้กลุ่มกองกำลังชาติพันธ์ในฝั่งเมียนมาต่างมีความสัมพันธ์อันดีกับนักธุรกิจไทย หน่วยงานรัฐของไทย รวมถึงประเทศสหรัฐฯ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นได้ว่า MOU จะเป็นช่องทางสำคัญของการให้กองกำลังชาติพันธุ์ในพม่าเข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานแร่ CTM อย่างเป็นทางการและชอบธรรมมากขึ้น
4.ประชาชนในลุ่มน้ำกกสายรวกโขงยิ่งตกอยู่ในความเสี่ยงของปัญหามลพิษข้ามพรมแดนภายใต้ MOU ฉบับนี้มากขึ้น เนื่องจากภายหลังการลงนาม ผู้นำรัฐบาลไทยได้ป่าวประกาศต่อสาธารณะว่า เรากำลังก้าวเข้าไปสู่การได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากห่วงโซ่อุปทานแร่ CTM แต่ในMOU ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องการทำธุริจที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมแม้แต่น้อย มิได้กล่าวถึงปัญหาผลกระทบข้ามพรมแดนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเลยว่าจะจัดการอย่างไร
“เมื่อพิจารณาถึงท่าทีของรัฐบาลอนุทิน เราพบว่าไม่มีนโยบายใดๆในการแก้ไขปัญหาเหมืองแร่ในพม่าที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนในลุ่มน้ำกกสายรวกโขง ภาคประชาชนได้ส่งหนังสือถึงนายอนุทินแล้วพร้อมมีข้อเรียกร้อง 10 ข้อ แต่ก็มิได้ตอบสนองแต่อย่างใด ถึงแม้นายสุชาติ ชมกลิ่น และรอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะลงมาพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย แต่เราก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรในการแก้ปัญหาที่ต้นตอ”นายสืบสกุล กล่าว
นายสืบสกุลกล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา ตนทีข้อเสนอดังนี้ 1. รัฐบาลไทยและสหรัฐฯต้องเปิดเผยแผนดำเนินการให้ประชาชนทราบ 2. รัฐบาลไทยต้องยุติการนำเข้าแร่ CTM ทั้งหมดจากเมียนมา พร้อมทั้งเปิดเผยที่ตั้งเหมืองแร่ทั้งหมดในเมียนมาที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าแร่ เพื่อพิสูจน์ให้ประชาชนรับทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษในแม่น้ำกับเหมืองแร่ต้น
“ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาคือเกมการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจใหม่ของมหาอำนาจโลก แต่ประชาชนชาวไทยกำลังแบกรับภาระทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่พวกเราไม่ได้ก่อขึ้น MOU แร่ CTM กำลังทำให้ประชาชนในลุ่มน้ำกกสายรวกโขงสูญเสียอำนาจในชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบมากขี้น เราจะยอมให้เขากระทำเช่นนั้นหรือ”ดร.สืบสกุล กล่าว
ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กล่าวว่า แร่หายาก(Rare earths) คือกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด ซึ่งประกอบด้วยแลนทาไนด์ 15 ชนิด ร่วมกับสแกนเดียมและอิตเทรียม ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า และระบบป้องกัน แม้ชื่อจะบ่งบอกว่าหายาก แต่ธาตุเหล่านี้กลับไม่หายากในเปลือกโลกเท่าใดนัก แต่มีความเข้มข้นต่ำ การทำเหมืองและสกัดให้บริสุทธิ์ทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง คุณสมบัติทางแม่เหล็ก เคมี และไฟฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ธาตุเหล่านี้ขาดไม่ได้สำหรับหลายการใช้งาน
ดร.สนธิกล่าวว่า การทำเหมืองแร่ธาตุหายาก ใช้วิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การทำเหมืองแบบเปิด (open-pit)หรือการทำเหมืองใต้ดิน เพื่อสกัดเอาแร่จากนั้นจะนำมาบด สกัดและทำให้เข้มข้นเพื่อแยกธาตุหายาก (rare earth elements) ออกจากแร่ชนิดอื่น กระบวนการนี้ใช้พลังงานและน้ำเป็นจำนวนมาก และอาจก่อให้เกิดของเสียอันตรายที่มีธาตุกัมมันตรังสี เช่น แร่ทอเรียมและยูเรเนียม แม้ว่าธาตุหายากจะมีความสำคัญต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่การทำเหมืองและการแปรรูปก็ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ทั้งการปนเปื้อนของน้ำ มลพิษทางอากาศ และการกัดเซาะหน้าดิน.
“การขุดแร่หายากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ทั้งการปนเปื้อนของน้ำและดินจากสารเคมีและกากแร่ที่มีกัมมันตรังสี การปล่อยฝุ่นและก๊าซอันตราย การทำลายป่าและถิ่นที่อยู่ของสัตว์ และการใช้น้ำปริมาณมาก ปัญหานี้รุนแรงขึ้นจากกระบวนการขุดและแปรรูปที่ต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดของเสียและมลพิษในระยะยาว”ดร.สนธิ กล่าว




