เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2557 เวลาประมาณ 13.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรุงเทพฯ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาข้อร้องเรียนของชาวทวาย ประเทศพม่า กรณีได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone – DSEZ) ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งชาวบ้านทวายซึ่งเดินทางมาจากพม่าเข้าร่วมโดยมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน
ทั้งนี้ในการประชุมได้เปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยมีการนำเสนอข้อมูลปัจจุบันต่อการดำเนินโครงการทวาย ประกอบด้วยตัวแทนจาก สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้าน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนบริษัทอิตาเลี่ยนไทย หรือ ITD ซึ่งได้รับเชิญให้มาร่วมชี้แจงครั้งนี้ได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนี้แล้ว
ตัวแทนจากสภาพัฒน์ ระบุว่าโครงการทวาย แบ่งออกเป็นหลายส่วน โดยระยะแรกนั้นมีการลงนามร่วม (MOU) กันระหว่างรัฐบาลไทย ทุนไทย และรัฐบาลพม่าตั้งแต่ปี 2555 โดยมีการตั้งคณะกรรมการระดับสูงร่วมกัน และมีคณะกรรมการย่อยอีกหลายส่วนเพื่อดำเนินการ ส่วนแรก คือ เรื่องการสร้างถนนเชื่อมต่อชายแดนไทย อุตสาหกรรมเล็ก ท่าเรือน้ำลึก และระบบคมนาคม ระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหญ่
ต่อมาเมื่อ ปี 2556 ได้มีการโอนข้อมูลให้กับบริษัททวายเดเวลอปเมนท์ลงทุนร่วมกับบริษัทอิตาเลี่ยนไทย (ITD) และเชิญนักลงทุนกับญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุน โดยที่คณะกรรมการระดับสูงที่ตั้งขึ้นมามีหน้าที่ให้คำปรึกษาและคัดเลือกนักลงทุนรายย่อยอื่นๆ ซึ่งมีการทำถนนบางส่วน โดยมี ITD ดำเนินการก่อสร้าง หลังจากนั้น ITD แจ้งกับสภาพัฒน์ ฯ และผู้ร่วมลงทุนว่าหมดงบประมาณในการดำเนินการ จึงระงับโครงการไว้ ส่วนสัญญาที่ทำไว้นั้นเป็นแค่ ยังอยู่ในขั้นตอนของการเสนอเงื่อนไขการลงทุน ยังไม่มีการสร้างสัญญาสัมปทานเบ็ดเสร็จร่วมกัน จึงยังไม่ได้ดำเนินการมากมาย
ส่วนรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ : EIA ) นั้น ITD ดำเนินการจัดหานักวิจัยมาดำเนินการพื้นฐานโครงสร้างการรองรับของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น การจ่ายค่าชดเชยที่ชาวบ้านเรีกร้อง สภาพัฒน์ฯ หรือรัฐไทย จึงไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าใครจะรับผิดชอบ
ตัวแทนจากสำนักงานร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อปี 2553 กรณีที่ทาง ITD มีการเซ็นสัญญาดำเนินการไปบ้างแล้วนั้น เป็นความตกลงกันระหว่างรัฐบาลพม่ากับบริษัทฯ ไม่ได้มีการตกลงระดับมหภาค เรื่องการจ่ายค่าชดเชย ต่อมาเมื่อยกเลิกสัญญาปี 2556 และกรณีการลงทุนใหม่ยังไม่ทราบว่าใครจะมารับผิดชอบ เพราะยังไม่มีการทำสัญญาใหม่กับบริษัทใหม่ ดังนั้นกรอบการรับผิดชอบจึงยังไม่มีข้อกำหนดชัดเจน แต่คิดรัฐบาลพม่าที่มีการลงนามร่วมกัน น่าจะมีมาตรฐานสากลในการรับผิดชอบประชาชนของเขาเอง
ดร.กัลยา สุนทรวงศ์สกุล นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งร่วมทำอีไอเอ กล่าวว่า เรื่องการศึกษาผลกระทบมีการดำเนินการ 2 ครั้งในระยะแรก คือ การศึกษาผลกระทบจากการสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างชายแดนไทยและโครงการทวาย (Road link) ทั้งด้านสังคม คุณภาพชีวิต โดยมีการรายงาน ITD รับทราบไปแล้ว ถึงข้อเสียและผลที่อาจเกิดขึ้น โดยเบื้องต้นพบว่าการตัดถนนนั้นไม่ผ่านกติกาของธนาคารโลก (world Bank ) โดยมีเสียงต่อต้านจากชาวบ้านและมีการร้องเรียนข้อกังวลมาอย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นแรกที่ชาวบ้านกังวล คือ 1 การสร้างถนนนั้นสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นเรื่องปกติคล้ายกับการสร้างมอเตอร์เวย์ในทุกประเทศ
ดร.กัลยา กล่าวว่า 2 การสร้างถนนสัญจรในพื้นที่ชายแดนไทย พม่า นั้นไม่เอื้อประโยชน์ต่อชาวทวาย เพราะชาวทวายไม่ได้ใช้ถนนในการขนส่งพืชผลทางการเกษตร เนื่องจากส่วนมากใช้เกวียนและรถอีแต๋นพื้นบ้าน หรือรถไถท้องถิ่น ไม่ได้ใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ และยังสร้างผลกระทบต่อการตัดวงจรระบบนิเวศในแม่น้ำตาไลยาห์ ที่ทวายด้วย เกิดตะกอนมากมายจากการตัดถนน และยังมีผลต่อการทำลายต้นไม้ และสภาพแวดล้อมในชุมชนด้วย
3 ประชาชนไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ จากการตัดถนนเชื่อมเส้นทางดังกล่าว
4 การสร้างถนนนั้นเกิดเป็นการปิดกั้นเส้นทางการสัญจรของช้างป่า ที่ชายแดนไทย จังหวัดกาญจนบุรี โดยทาง ITD ได้มีการเสนอข้อมูลทางออกนี้ให้สร้างสะพานสำหรับการข้ามถนนของสัตว์ ซึ่งรายละเอียดให้มีการศึกษาเชิงวิศวกรรมอีกครั้ง
“นอกจากข้อกังวลหลายด้านที่กล่าวมาแล้ว จากการลงพื้นที่ศึกษาคุณภาพชีวิตและข้อกังวลระยะยาว เรายังทราบด้วยว่า ชาวบ้านไม่ให้การยอมรับความเจริญของถนนที่อาจเกิดขึ้น เพราะส่วนมากชาวทวายพอใจกับการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม และยังกลัวว่าจะสูญเสียที่ดินการเกษตรอย่างมาก นอกจากนี้ในอนาคตหากมีการสัญจรของคนแปลกถิ่น เป็นไปได้ว่า อาจมีการนำโรคติดต่อมาสู่คนทวายด้วย ชาวบ้านจึงปฏิเสธการสร้างถนน โดยทางทีมวิจัย ได้รายงานผลกระทบไปหมดแล้ว แต่ความรับผิดชอบดังกล่าวเป็นเรื่องของบริษัทในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจเจรจาร่วมกันเมื่อใดก็ได้ แต่ในส่วนของชาวบ้านนั้นไม่เชื่อว่า บริษัทจะรับผิดชอบได้ และไม่เชื่อว่าความเจริญจากการสร้างนถนนจะช่วยให้ชาวบ้านได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตามเรื่องการรับผิดชอบเป็นหน้าที่ของบริษัท เพราะหน้าที่ของนักวิจัย คือ การศึกษาตามสภาพความเป็นจริงในส่วนถนนเชื่อมต่อเท่านั้น ไม่ใช่การศึกษาทั้งโครงการฯ กรณีเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม และกรณีอื่นๆ เป็นหน้าที่ของผู้ทำสัญญาและการว่าจ้างนักวิจัย ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง ”ดร.กัลยา กล่าว
ด้านนายออง มิน ตัวแทนชาวบ้านทวายซึ่งได้รับผลประทบ กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินการโครงการทวายนั้นยังดำเนินการอยู่ โดยส่วนที่ใกล้แล้วเสร็จ คือ ถนนเชื่อมต่อชายแดนไทย พม่า ไม่มีใครเข้ามาคุยเรื่องการจ่ายค่าชดเชยให้ ทั้งนี้ในส่วนของครอบครัวตนเสียที่ดินในการสร้างถนนไปแล้ว มีรถไถเข้ามาแต่งถนน และยังมีการสัญจรไปมาเสมอ ตนและเพื่อนบ้านถูกสั่งให้ย้ายออกจากพื้นที่ โดยทางบริษัทมีการเสนอว่าจะจ่ายเงินให้ แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชย
นายซู ปาย ตัวแทนจากหมู่บ้านกะโลนท่า กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการประชุมรับทราบข้อมูลการก่อสร้างและการดำเนินโครงการใดๆ การก่อสร้างเป็นเรื่องระหว่างนักธุรกิจกับรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่ปัญหาใหญ่กับเกิดกับชาวบ้าน คือ ไม่ได้รับค่าชดเชยเวรคืนที่ดิน เกิดปัญหานายทุนกว๊านซื้อที่ดินในราคาถูกเพื่อเก็งกำไร การสร้างถนนเชื่อมต่อสร้างความแปรปวนทางสิ่งแวดล้อม เช่น ดินถล่ม ดินสไลด์ และเกิดตะกอนในแม่น้ำสำคัญ ที่ดินทางการเกษตรเสียหาย
ขณะที่ นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า จากที่ได้ฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายแล้วนั้น กสม.จะดำเนินงานในฐานะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ตามปฏิญญาข้อตกลงร่วมกัน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1 สรุปแล้วว่ามีผลกระทบในพื้นที่จริง ทั้งนาข้าว ไร่หมาก นาเกลือ และประมง โดยจะทำหนังสือแจ้งต่อนายกรัฐมนตรี คือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบริษัท ITD ให้รับผิดชอบและเยียวยาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โดยจะแจ้งให้ทราบภายใน 2 สัปดาห์ และ 2 ทำข้อเสนอให้รัฐบาลมองการพัฒนาในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน ในการพัฒนาทุกด้าน ไม่ใช่การพัฒนาแค่ด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน และจากกรณีการพบรัฐบาลพม่าของนายกฯ ต่อกรณีการเดินหน้าโครงการทวายนั้นน ทาง กสม.อยากเสนอให้เร่งศึกษา EHIA และ EIA ให้เรียบร้อย ตรงตามมข้อเท็จจริงและจัดให้มีร่วมภาคพื้นที่ ทุกๆ การลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและพม่า