Search

แนะ 3 ประเทศสร้างกติการ่วมสาละวิน นักวิชาการหวั่นถูกจีนย่ำยีซ้ำรอยแม่น้ำโขง สส.กะเหรี่ยงพ้อเสียงชาติพันธุ์ไม่มีความหมายในสภาพม่า

sw2

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน  ในเวทีการประชุมนานาชาติ สาละวินศึกษา ครั้งที่ 1   (First International Conference on Salween-Thanlwin-Nu Studies “State of Knowledge: Environmental Change, Livelihoods and Development”) ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)  จังหวัดเชียงใหม่ นายวิฑูรย์   เพิ่มพงศาเจริญ นักวิชาการอิสระ กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “ความร่วมมือบนแม่น้ำข้ามพรมแดน” ว่า  แม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำที่ใช้ร่วมกันในประเทศไทย จีน พม่า แต่กลับไม่มีการออกกฎหมายดูแลจัดการน้ำร่วมกันทั้ง 3 ประเทศ จากข้อสังเกตคือ แม้สภาพภูมิศาสตร์แม่น้ำจะมีความสำคัญต่อทุกประเทศ แต่ว่ามีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งหากปล่อยให้แต่ละประเทศมีอำนาจในการบริหารทรัพยากรน้ำฝ่ายเดียว ก็จะเป็นผลเสียต่อประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกัน อย่างเรื่องการสร้างเขื่อน แม้ไทยกับจีนจะบอกว่ามีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ แต่การตัดสินใจเพื่อการพัฒนาทำให้เกิดผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตร ทั้งประมง และการทำไร่ ทำนา ก็ย่อมไม่เกิดความเป็นธรรม

“ยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตย  ทรัพยากรนานาชาติ ไม่ได้เป็นของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  การออกกฎเพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติเป็นเรื่องที่ต้องตระหนัก หากมีข้อตกลงร่วมกัน เชื่อว่า ชะตากรรมสาละวินจะไม่ซ้ำรอยแม่น้ำโขง เรามีบทเรียนเรื่องแม่น้ำโขงมาแล้ว ผลคือ จีนใช้อำนาจอนาธิปไตย สร้างเขื่อนตอนบนมากมาย ผลก็เกิดกับประเทศอื่นๆ ทั้งเวียดนาม ไทย กัมพูชา ลาว ทุกคนรู้และเห็นชัดถึงผลกระทบมากเพียงใด ทรัพยากรน้ำจึงเป็นทรัพยากรสำคัญที่นักวิชาการสิ่งแวดล้อมเห็นควรว่าต้องไม่ปล่อยให้รัฐใดรัฐหนึ่งบริหารอย่างเป็นเอกเทศ ซึ่งการสร้างเขื่อนก็ไม่ใช่หลักการบริหารจัดการที่ถูกต้องที่จีน ไทย หรือประเทศใดจะเล็งเป้าหมายเพื่อการผลิตไฟฟ้าอย่างเดียวแต่ต้องทำลายระบบการไหลของแม่น้ำที่จำเป็นต่อทุกชีวิต โดยเฉพาะคนรุ่นหลัง ดังนั้นเพื่อปกป้องสาละวินอย่างถาวรรัฐบาลพม่าและทุกประเทศต้องสร้างกฎหมายหรือสัญญาจัดการน้ำร่วมกัน” นายวิฑูรย์ กล่าว

sw1

ศาสตราจารย์ มอง มอง เอ ( Prof. Maung Maung Aye) นักวิชาการจากสมาคมสิ่งแวดล้อม พม่า กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการน้ำของพม่า ถือว่ายังไม่ทันสถานการณ์เพราะปรับปรุงครั้งล่าสุดตอนปี  ค.ส. 2000  และจากการศึกษารายละเอียดพบว่าไม่มีความเป็นสากลมากพอ โดยเฉพาะนโยบายการจัดการน้ำ แม้จะมีวาระสำคัญถึง 17 หมวด ในการบริหารประเทศของรัฐบาล แต่ส่วนมากเน้นไปที่การบริหารน้ำภายในประเทศ ที่นักวิชการน้ำ และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมกังวล คือ  แต่ละหมวดนั้นไม่มีนโยบายใดเอื้อต่อการรับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดนที่เกิดจากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ และไม่มีการกล่าวถึงข้อตกลงระหว่างประเทศ ดังนั้นข้อเสนอของตนคือ พม่าจะก้าวสู่สากลได้ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และมีการประเมินผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่เป็นรายปี ก่อนเปิดอุตสาหกรรม หรือโครงการใหญ่ต่างๆ โดยเเฉพาะด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ

 

“นักวิชาการในพม่ามีมากมายอยู่แล้ว และศึกษาความสำคัญของแม่น้ำไว้หลายกรณี แต่ปัญหาคือไม่มีโอกาสและพื้นที่เผยแพร่สู่สาธารณะ ดังนั้นคนจะมองไม่ออกว่า ความสำคัญของแม่น้ำแต่ละสายในพม่ามีอะไรบ้าง เป้าหมายต่อไปของภาควิชการสิ้งแวดล้อม คือ การเดินหน้าประชาสัมพันธ์ข้อมูล เช่น การจัดอบรมคุณค่าของแม่น้ำ ที่ผมและเครือข่ายเคยทำมา การส่งเสริมการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ เป็นต้น เพื่อให้การผลักดันยุทธศาสตร์เรื่องสิ่งแวดล้อมมีความก้าวหน้า ประชาชนมีความรู้ และเป็นที่ยอมรับจากต่างชาติ ” ศาสตราจารย์ มอง  กล่าว

sw3

ขณะที่ นางแนน เซ อวา (Nan Say Awa) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า กล่าวว่า ข้อจำกัดเรื่องการรับรู้ด้านสิ่งแวดล้อม คือ ประชาชนเข้าถึงข้อมูลของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำได้น้อยมาก เช่น การอพยพชาติพันธุ์เพื่อรองรับการสร้างเขื่อนฮัตจีนั้น ชาวบ้านไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเหตุผลที่ต้องโยกย้ายหรืออพยพคืออะไร แล้วเขื่อนสร้างผลกระทบมากเพียงใด   นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกอย่าง คือ  กรณีการสร้างเขื่อนนั้น แม้ในสภาจะมีตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาเป็นส.ส.ก็ตาม แต่เสียงของ ส.ส.ชาติพันธุ์แทบไม่มีความหมาย   กระทรวงไฟ้ฟ้ายังคงเดินหน้าแผนสร้างเขื่อนฮัตจีและเขื่อนอื่นๆต่อไป ทั้งการลงทุนร่วมไทย จีน หรือแม้แต่การลงทุนในพม่าเอง ก็เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลที่มีบริษัทเอกชนคอยสนับสนุนเท่านั้น  ชาวบ้านระดับรากหญ้า กลับถูกกวาดล้าง ผลักดันออกจากพื้นที่โดยง่ายได้