Search

เสียงสะท้อนจากเวที“สาละวิน”ศึกษา สอดประสานเสียงรองผบ.สส.เคเอ็นยู “NO DAM”

sal

 

ข่าวคราวการสู้รบในพื้นที่ “ก่อซูเล” รัฐกะเหรี่ยง ชายแดนตะวันออกของพม่า-ตะวันตกของไทย ที่ปะทุขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา นำความสนใจมาสู่พรมแดนตะวันตกอีกครั้ง หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่

กลุ่มปกป้องแม่น้ำกะเหรี่ยง Karen Rivers Watch (KRW) ได้ออกรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่าชาวบ้าน 2,000 คน กำลังต้องอพยพจากการสู้รบรอบใหม่ที่เกิดขึ้นในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 5 ทศวรรษ การสู้รบครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการเจรจากหยุดยิงเป็นเวลา 2 ปี ซึ่ง “เป็นช่วงที่ค่อนข้างสงบ ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามยุทธศาสตร์ทางทหารของกองทัพพม่าที่ต้องการควบคุม พื้นที่ในรัฐกะเหรี่ยง และอาจเป็นผลมาจากแผนการก่อสร้างเขื่อน ฮัตจีในแม่น้ำสาละวิน”

ประเด็นสาละวิน ถูกเผยแพร่ออกสู่แวดวงวิชาการและสื่อมวลชนมากขึ้น เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การประชุมนานาชาติ สาละวินศึกษา ครั้งที่ 1   (First International Conference on Salween-Thanlwin-Nu Studies “State of Knowledge: Environmental Change, Livelihoods and Development”) ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีนักวิชาการ ภาคประชาชน สื่อมวลชนไทย พม่าและชาติต่างๆ เข้าร่วมกว่า 200 คน โดยเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้่นในลุ่มน้ำสาละวิน ระดมความคิดเห็นเพื่อหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเสนอวิธีการปกป้องแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศจีน ไทย และพม่า

ดร.ชยันต์  วรรธนะภูติ   ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอย่างยั่งยืน (RCSD) และอาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มช. กล่าวว่าหลายปีที่ผ่านมานั้นแม่น้ำสาละวินถูกกล่าวถึงอย่างมากโดยเฉพาะในประเด็น การพัฒนาโครงการเขื่อน 7 แห่ง (ในพม่า) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยกลุ่มที่ได้อาจได้รับผลกระทบจากแผนการพัฒนาประเทศมากที่สุด คือ กลุ่มชาติพันธุ์ที่พึ่งพาแม่น้ำละวินมานานนับร้อยๆปี อีกทั้งยังประวัติศาสตร์และร่องรอยของวัฒนธรรมไว้มากมาย หลายพื้นที่เป็นครัวของภูมิภาค อย่าง เช่น เมืองมะละแหม่งก็มีความสมบูรณ์เรื่องประมง บางหมู่บ้านมีระบบเกษตรกรรมดั้งเดิม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ทันทีที่พม่าเปิดประเทศ นักลงทุนข้ามชาติจ้องจะครอบครองพื้นที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจ ทำให้วันนี้การประชุมเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือปกป้องสิ่งแวดล้อมในแม่ น้ำสาละวินต้องเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาความร่วมมือต่อไป

ศาสตราจารย์ มอง มอง เอ ( Proffesor  Maung Maung Aye)  นักวิชาการจากสมาคมสิ่งแวดล้อมพม่ากล่าวว่า จีนพม่าและไทยพึ่งพาแม่น้ำสาละวินมานานร้อยปี จากประสบการณ์การศึกษาแม่น้ำและภูมิศาสตร์โดยรอบพบว่าแม่น้ำอิระวดีและแม่น้ำสาละวิน คือแม่น้ำสายสุดท้ายของจีน พม่า และไทย ที่มีความจำเป็นต่อการประคองสภาพสมดุลทางสิ่งแวดล้อม  อาจกล่าวได้ว่า หากระบบนิเวศของแม่น้ำ 2 สายนี้ถูกรบกวนเท่ากับสิ่งแวดล้อมโลกต้องเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ เพราะจากผลการศึกษาล่าสุดพบว่า หากมีการสร้างเขื่อนในแม่น้ำสองสายนี้จะทำให้ชายฝั่งถูกกัดเซาะมากถึง 13.4 กิโลเมตรต่อปี

“ปี 2011 ผมได้เสนอผลศึกษานี้ให้ประธานาธิบดีเต็งเส่ง รับทราบและออกคำสั่งชะลอการสร้างเขื่อนในแม่น้ำสาละวินออกไป ผมได้แต่หวังว่าในอนาคตหากระบบการศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้มแข็งขึ้น จะเสนอแผนพัฒนาประเทศที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมให้กับรัฐบาลอีกครั้ง ปัญหาคือที่ปรึกษาของรัฐบาลพม่ามีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจประเทศ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเข้ามาคิดและออกแบบนโยบาย แต่พม่าลืมไปว่า ทรัพยากรมหาศาลของประเทศ คือ ระบบภูมิศาสตร์ที่สวยงามและระบบเกษตกรรมทั้งทางทะเล แม่น้ำ ป่าไม้ที่สมูบรณ์ กล้าพูดได้ว่า หากพม่าสร้างเขื่อนลุ่มน้ำสาละวิน ร่องรอยทางประวัติศาสตร์แห่งชาติพันธุ์และสภาพภูมิศาสตร์ประเทศจะล่มสลายทันที ” ศาสตราจารย์ มอง มอง เอ กล่าว

ศาสตราจารย์ มอง มอง เอกล่าวด้วยว่า แม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำสายสำคัญในภูมิภาคนี้มีประชากรกว่า 10 ล้านคนอาศัยอยู่โดยรอบแม่น้ำน้ำสาละวิน มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากถึง  13 ชาติพันธุ์ การที่คนพม่าขาดแคลนไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกและขาดแคลนระบบอุตสาหกรรม ไม่อันตรายเท่าขาดแคลนน้ำและขาดที่ดินทำกิน ประชากรจะต้องหาแหล่งที่อยู่ใหม่หากระบบนิเวศถูกทำลาย รัฐบาลไม่จำเป็นต้องอพยพพวกเขา แต่คนเหล่านี้จะย่ายถิ่นฐานเพื่อความอยู่รอดเอง โดยส่วนตัวอยากให้รัฐบาลล้มเลิกโครงการเขื่อนทั้ง 7 แห่งทันที และควรหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนการดำเนินโครงการขนาดใหญ่

 

หลังจากเสร็จสิ้นกาประชุมวิชาการ สื่อมวลชนไทย พม่า อาทิ 7 Days News, Eleven Myanmar รวมถึงสื่อตะวันตก คือ เอพีและรอยเตอร์  ได้ร่วมกันลงพื้นลุ่มน้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อรับฟังผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากมีการก่อสร้างเขื่อนฮัตจี (Hat Gyi Dam) ประเทศพม่า ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยราว 47 กิโลเมตร

นายเดชา ศรีไสวดาวเรือง ผู้ใหญ่บ้านสบเมย อ.สบเมย กล่าวว่าชาวบ้านในพื้นที่รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนน้อยมาก ไม่มีตัวเลขและข้อมูลที่ชัดเจนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชาวบ้านจะมากน้อยแค่ไหน แล้วจะแก้ไขเยียวยาบรรเทาผลกระบได้อย่างไร “ชาวบ้านไม่ได้คัดค้าน หรือสนับสนุนเขื่อนฮัตจี แต่ต้องการรู้ข้อมูลที่ชัดเจน หากเราจะต้องเดือดร้อน เขาจะช่วยเราอย่างไร อันนี้ไม่มีใครบอกเรา เราเคยอยู่ของเรามากับแม่น้ำสาละวินตั้งแต่ปู่ย่า เราก็อยากสืบทอดต่อให้ลูกหลาน วิถีชีวิตคือสิ่งที่สำคัญ”

คณะสื่อมวลชนยังได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์พล.อ.บอ จ่อ แฮ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union) หรือ เคเอ็นยู  โดยพล.อ.บอ จ่อ แฮ กล่าวว่า การดำเนินโครงการขนาดใหญ่ในพม่านั้น ทางการกะเหรี่ยงไม่ได้ปฏิเสธทุกโครงการ แต่โดยส่วนตัวมองว่า หากรัฐบาลพม่าใช้อำนาจเจรจาระหว่างรัฐกับรัฐ  โดยบริษัทและหน่วยงานที่ร่วมลงทุนจากฝ่ายไทยดำเนินการสร้างเขื่อน หรือโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ ระหว่างที่การเจรจาหยุดยิงเพื่อสันติภาพยังหาทางออกไม่ได้ ปัญหาจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะทันทีที่พม่าเปิดให้มีการลงทุนข้ามชาติ ผลประโยชน์ต่างๆ ย่อมเกิดขึ้น นักการเมืองและกลุ่มต่างๆ ล้วนต้องมีส่วนได้ ส่วนเสีย การคอรัปชั่นก็จะเกิดขึ้นตามมาอีกหลายเรื่อง จึงอยากให้ชะลอโครงการฯไว้ ก่อน

“การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่จะทำอย่างผิวเผินไม่ได้  ต้องมีขั้นตอนการศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างเป็นระบบ เพราะมิเช่นนั้นผลกระทบก็จะตกอยู่กับประชาชนรากหญ้าดังที่เกิดอยู่ในเวลานี้ พม่าไม่ใช่ประเทศเล็กๆ และยังมีกลุ่มชาติพันธุ์มากมาย อีกทั้งมีกองกำลังต่างๆ กระจายตัวอยู่ การตัดสินใจการลงทุนจากต่างชาติ จะตัดสินโดยอำนาจรัฐบาลพม่า ฝ่ายเดียวไม่ได้” พล.อ.บอ จ่อ แฮ กล่าว

รอง ผบ.สส. กล่าวด้วยว่าได้รับข้อมูลว่าเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลพม่าและหน่วยงานไทยได้ทำข้อตกลงเรื่องโครงการเขื่อนฮัตจีฉบับใหม่ และมีการขยับของบริษัทเอกชนที่จะเข้ามาลงทุนเขื่อน ในขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหวทางการทหารในพื้นที่รอบๆ หัวงานเขื่อนฮัตจี กองทัพพม่าได้ปรับปรุงถนนเก่า และตัดถนนใหม่สู่พื้นที่เขื่อน ลำเลียงยุทธปัจจัยเข้ามาเสริม ตลอดจนยิงปืนใหญ่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งกองกำลังของเคเอ็นยูพยายามควบคุมพื้นที่อย่างเข้มแข็ง ท่าทีการตอบโต้ดังกล่าวสะท้อนว่าเคเอ็นยูไมต้องการให้อำนาจการตัดสินใจของรัฐบาลพม่าอยู่เหนือประชากรกลุ่มอื่น จึงต้องต่อต้านเต็มที่ ดังนั้นสำหรับนโยบายด้านการลงทุนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาตินั้น ตนมองว่าคงต้องตามมาหลังจากการเจรจาหยุดยิงสำเร็จ

“เราอยากให้สันติภาพเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นขั้นตอนที่สอง คือ ข้อตกลงเรื่องการเมืองภายในประเทศ คือ มีสภาผู้แทนที่ร่วมตัวกันทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ ทหารพม่า และพลเรือนร่วมกัน จึงไปถึงขั้นตอนที่สาม คือพัฒนาโอกาสสู่โครงการขนาดใหญ่และการลงทุนต่างๆ ไม่ใช่ทำสวนทางกันเหมือนที่รัฐบาลพม่ากำลังทำลัดขั้นตอนอยู่ตอนนี้ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปจะเกิดเป็นปัญหาใหญ่

“ปัญหาแรกที่จะเกิดขึ้น ก็คือ ประชาชนสูญเสียที่ดิน เพราะเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่าง เคเอ็นยู และรัฐบาลพม่า ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ประชาชนก็ยังไร้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ปัญหาต่อมา คือ ประชาชนต้องหนีสงคราม ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้น เคเอ็นยูจึงยืนยันว่าต้องชะลอโครงการเขื่อนและโครงการลงทุนอื่นๆ จนกว่าจะเกิดสันติภาพในพื้นที่อย่างแท้จริง หากสุดท้ายจะเกิดสันติภาพ เกิดการลงทุนจากต่างชาติ ก็ต้องดำเนินตามมาตรฐานสากล” รอง ผบ.สส.กล่าวทิ้งท้าย

ดูเหมือนเสียงสะท้อนจากเวทีวิชาการตลอดจนเสียงก้องในลำน้ำสาละวินจะสอดประสานไปในทิศทางเดียวกันคือยังไม่ถึงเวลาของ “เขื่อน” ซึ่งแตกต่างจากท่วงท่าของผู้นำรัฐบาลพม่าและไทย รวมถึงนักหิวกระหายเขื่อนอย่างกฟผ.ที่พยายามปลุกปั้นโครงการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำสาละวินให้ได้

วันนี้แม่น้ำสาละวินยังไหลเป็นอิสระ ท่ามกลางการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อ “อิสระภาพ”ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ หากวันใดที่สายน้ำสายนี้ถูกกางกั้นด้วยเขื่อน ย่อมหมายถึงวิถีชีวิตของคนและธรรมชาติต้องจำนนให้กับระบบจองจำไปด้วย

——————————

เรื่องโดย โลมาอิรวดี  

ภาพโดย Transbordernews.in.th

——————————

  ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ 21 พย 2557