พลเอกมิ้นอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพพม่า ได้พบปะกับทหารพม่าและครอบครัวทหารระหว่างเดินทางเยือนเมืองชิตต่วย เมืองหลวงของรัฐอาระกัน ทางตะวันของประเทศเมื่อวันพุธ (13 ก.ค.) ที่ผ่านมา โดยได้เรียกร้องไม่ให้ทหารแสดงพฤติกรรมรุนแรงต่อประเด็นเรื่องศาสนา ขณะที่ประเด็นเรื่องศาสนาในรัฐอาระกันเริ่มส่อเค้าตึงเครียดขึ้นมาอีก หลังจากที่เมื่อไม่นานมานี้ ชาวพุทธในพื้นที่ได้ออกมาประท้วงรัฐบาล NLD ที่เปลี่ยนคำเรียกชาวโรฮิงญา เป็น “ชุมชนชาวมุสลิมในรัฐอาระกัน”
ทั้งนี้ พลเอกมิ้นอ่องหล่ายกล่าวว่า ประชาชนไม่ควรมีพฤติกรรมหัวรุนแรงสุดโต่งเพื่อส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรมของตน ในเพจ Facebook ส่วนตัวของพลเอกมิ้นอ่องหล่าย ยังได้โพสต์ข้อความว่า เป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะหันกลับมาสร้างความสามัคคีในหมู่กลุ่มชาติพันธุ์อีกครั้ง ซึ่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นได้ล่มสลายไปตั้งแต่พม่าสูญเสียอธิปไตยให้กับอังกฤษ
มีรายงานว่า ระหว่างขึ้นกล่าวพูดต่อหน้าทหารและครอบครัวทหาร พลเอกมิ้นอ่องหล่ายได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษที่ได้สร้างความแตกแยกและความไม่เข้าใจจนนำไปสู่ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนา เป็นต้น และส่งผลทำให้เกิดความไม่มั่นคงภายในประเทศมาจนถึงปัจจุบัน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกลับมาสร้างความสามัคคีในหมู่ชาติพันธุ์อีกครั้งบนพื้นฐานตามข้อเท็จจริง
ขณะที่พระ “อูโทะพะคะ” หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มพระสงฆ์หัวรุนแรงพม่า “มะบะทะ” แสดงความคิดเห็นว่า คำพูดของผู้บัญการทหารสูงสุดของพม่าอาจเป็นการเตือนอะไรบางอย่าง โดยส่วนตัวพระสงฆ์รูปนี้กล่าวว่า ไม่สนับสนุนพฤติกรรมหัวรุนแรงสุดโต่งในด้านศาสนา เพราะจะเป็นการทำลายประเทศชาติ และหวังว่า รัฐอาระกันจะสามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ใช้ความรุนแรงทางเชื้อชาติและศาสนา
ความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดขึ้นในรัฐอาระกันระหว่างปี 2555 และปี 2556 ทำให้มีประชาชนต้องกลายเป็นคนไไร้ที่อยู่กว่า 140,000 คน เพราะบ้านถูกเผาและถูกทำลายเสียหาย ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือชาวมุสลิมโรฮิงญา และภายหลังต้องย้ายไปอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่น ซึ่งถูกจำกัดการเดินทางและการเข้าถึงด้านศาสนาและการศึกษา และอยู่ในพื้นที่เขตชนบทห่างไกล และการแบ่งแยกศาสนาและเชื้อชาติระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมโรฮิงญายังคงพบเห็นอยู่ทั่วไปในรัฐอาระกัน หรือรัฐยะไข่
ที่มา Irrawaddy/Myammar Times
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ