เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.)ที่ 1 เชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้รับคำสั่งให้ศึกษาการหาเครื่องมือดักตะกอนในแม่น้ำกก เป็นการดัก-เก็บ-กู้-สูบขึ้นมากำจัดแล้วนำไปปรับสภาพทางวิศวกรรม ถ้าสารเข้มข้นมากนำมาปรับเสถียรคุมความเป็นกรดเป็นด่าง เหมือนภาคตะวันออกนำแคดเมียมมาใส่ซีเมนต์ทำถนน หรือทำเป็นวัสดุทำถนนหนทาง โดยเป็นเครื่องมือชั่วคราว
นายอาวีระ กล่าวว่า แนวทางการทำฝายหรือเครื่องมือดักตะกอน ก่อนหน้านี้เป็นข้อเสนอที่เกิดจากการพบว่าหลังจากเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21-23 เมษายน บริเวณฝายเชียงราย พบว่า แม่น้ำกกที่ไหลผ่านอำเภอเชียงแสน ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำ 3 จุด มีค่าสารหนูน้อยกว่า 0.01mg/l จึงเห็นว่าฝายเป็นตัวเบรกความเร็วน้ำ การชะลอการไหลทำให้สารโลหะหนักจมลงอาจทำให้ตกตะกอนอยู่หน้าฝาย
“สคพ.กำลังพยายามเก็บตะกอนหน้าฝายเชียงรายเพื่อพิสูจน์ว่า การที่แม่น้ำกกที่อำเภอเชียงแสนมีปริมาณสารหนูปนเปื้อนต่ำมาก เพราะสารหนูตกตะกอนอยู่หน้าฝายเชียงรายจริงหรือไม่ เราพยายามตักตะกอนหน้าฝายขึ้นมา แต่ไม่สามารถทำได้เพราะน้ำไหลเชี่ยวมาก พอตักขึ้นมาตะกอนก็ถูกพัดไปเกือบหมด จึงต้องออกแบบเก็บในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อพิสูจน์ต่อไป”นายอาวีระ กล่าว
ผู้อำนวยการ สคพ.ที่ 1 กล่าวว่า อย่างไรก็ตามฝายเชียงรายเปิดบานประตูน้ำลักษณะยกขึ้น ไม่ใช่น้ำไหลผ่านแบบ Over Flow ทำให้ตะกอนฟุ้งกระจายไปหลังฝายได้เมื่อต้องระบายหลาก แนวคิดการทำฝายให้เป็นที่ดักตะกอนชั่วคราวจึงเป็นข้อเสนอที่เป็นทางเลือกหนึ่ง จาก 2 ทางเลือก คือ ปล่อยให้ตะกอนไหลออกไปยังแม่น้ำโขง หรือหาเครื่องมือชะลอให้ตกตะกอนแล้วกำจัด โดยเป็นเครื่องมือหรือฝายชั่วคราว ไม่ไปลงแม่น้ำโขงแพร่กระจายต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยในการสร้างฝายหรือเครื่องมือดักตะกอนโดยเฉพาะในเรื่องการจัดการสารโลหะหนักที่เป็นพิษ นายอาวีระ กล่าวว่า ในการหารือตนเองก็ติงในที่ประชุมแล้วในประเด็นที่น่าเป็นห่วง เรื่องที่อาจมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเมื่อเปลี่ยนผู้บริหาร ผู้รับผิดชอบ ความกังวลในเรื่องงบประมาณจะต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามแผนหรือไม่ และการจัดการตะกอนที่ต้องกำจัด รวมถึงการจะไปทำเครื่องมือหรือฝายดักตะกอนนี้จะไปอยู่ตรงไหนและได้รับการยินยอมให้สร้างหรือไม่ ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมากที่จะต้องพิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลการตรวจล่าสุดพบว่าบริเวณปากน้ำกกและริมน้ำโขงมีค่าสารหนูและตะกั่วสูงลิ่ว จะมีแนวปฏิบัติหรือคำแนะนำอย่างไรในการใช้น้ำ นายอาวีระกล่าวว่า สคพ. เชียงใหม่ ได้เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจากแม่น้ำโขงเพิ่มเติมแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจวิเคราะห์ผลการปนเปื้อนโลหะหนัก
“เมื่อผลออกการตรวจแม่น้ำสายน้ำรวก น้ำกก และแม่น้ำโขงออกมาแบบนี้ ระบบประปาของชุมชนในลุ่มน้ำโขงไม่เฉพาะริมน้ำโขงในภาคเหนือ แต่หมายถึงภาคอีสานด้วย ต้องตระหนักกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คนที่อยู่ในน้ำ เราควรหลีกเลี่ยงที่แช่น้ำนานๆ เพราะร่างกายจะดูดซึมสารพิษ ต้องรีบขึ้นมา และล้างตัวให้สะอาด การดื่มกินจะได้รับสารโลหะหนักสะสมได้เร็วกว่า คนเปราะบางควรเลี่ยงที่จะสัมผัสน้ำ ระบบประปาต้องดูแลจัดการ โดยเฉพาะประปาชุมชน” นายอาวีระกล่าว
ขณะที่ น.ส.ชลาลัย นาสวนสุวรรณ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี อดีตผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนคลิตี้ล่าง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลได้แก้ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายด้วยการสร้างเขื่อนดักตะกอนกั้นแม่น้ำกกในช่วงที่ไหลเข้าประเทศไทยในพื้นที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ว่าโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะในลำห้วยคลิตี้ที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนจากการทำเหมืองและหน่วยงานราชการได้มาสร้างฝายเพื่อดักตะกอน 3-4 แห่ง แต่สุดท้ายคุณภาพน้ำก็ยังใช้ไม่ได้ จนถึงขณะนี้ชาวบ้านก็ยังถูกสาธารณสุขห้ามใช้น้ำในลำห้วยคลีตี้
น.ส.ชลาลัยกล่าวว่า การสร้างฝายหรือเขื่อนดังตะกอนจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่ดีโดยเฉพาะการนำตะกอนที่มีความเข้มข้นไปฝังกลบหรือนำไปทำอะไรก็ตาม แต่ปัญหาหนึ่งที่พบคือชาวบ้านในบริเวณฝายจะได้รับผลกระทบมากเพราะสารโลหะหนักในบริเวณฝายจะเข้มข้นขึ้น
“สารโลหะหนักไม่ได้อยู่เป็นก้อนๆ มันเป็นละออง เมื่อทำฝายกั้นก็ยังมีช่องให้น้ำผ่าน ละอองเหล่านี้ก็ยังไปกับน้ำอยู่ดี มีบ้างที่ตะกอนปนเปื้อนตกลงหน้าฝาย แต่เมื่อน้ำล้นฝาย หรือน้ำหลาก ตะกอนก็ไปกับน้ำได้เหมือนเดิม คิดง่ายๆคือแค่เป็นโคลนธรรมดา ตะกอนก็ตกอยู่หน้าฝายเยอะกว่าหลังฝายอยู่แล้ว หากมีสารโลหะหนักเจือปนย่อมทำให้หน้าฝายเข้มข้นกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าน้ำที่ไหลไปจะไม่มีสารโลหะหนักไหลไป”น.ส.ชลาลัย กล่าว
อดีตเยาวชนบ้านคลิตี้ล่างกล่าวว่า อีกปัญหาหนึ่งที่พบในการทำฝายดักตะกอนที่ลำห้วยคลิตี้คือเมื่อฝายชำรุดเสียหายจากธรรมชาติ เช่น ฤดูฝนเกิดน้ำหลาก และต้นไม้ล้มทับฝาย ทางหน่วยงานราชการไม่ได้เข้ามาซ่อมแซมตลอด ทำให้กลายเป็นภาระของชุมชนที่ต้องคอยร้องเรียนให้มาแก้ไข เพราะหน่วยงานราชการถือว่าได้ทำแล้ว หากจะซ่อมแซมต้องของบประมาณแผ่นดินเพิ่ม ทำให้เกิดความยุ่งยากมาก และไม่ทันต่อการแก้ไขปัญหา
“โดยส่วนตัวคิดว่าการสร้างฝายดักตะกอนที่ลำห้วยคลิตี้ไม่ใช่วิธีการไขปัญหา เพราะสุดท้ายแล้วน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนักก็ไหลลงมาด้านล่างอยู่ดี แม้ปีหนึ่งเขาจะมาดูดตะกอน แต่พอถึงหน้าฝนเมื่อน้ำหลากตะกอนเหล่านี้ก็ไหลอยู่ดี ทำให้เสียงบประมาณเปล่าๆ”น.ส.ชลาลัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าฝายดักตะกอนช่วยทำให้ลำห้วยคลิตี้ดีขึ้นหรือไม่ น.ส.ชลาลัยกล่าวว่า ไม่ได้ช่วยให้คุณภาพน้ำดีขึ้น แต่อาจช่วยเรื่องการเอาตะกอนที่ปนเปื้อนออกไปได้บ้าง หากมีการบริหารจัดการที่ดี
———–