Search

“ไข้ดำ” บทเรียนจากร่อนพิบูลย์ถึงเชียงราย การปนเปื้อนสารหนูในน้ำกก-น้ำสาย

ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ

ปัญหาสารหนูปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในประเทศไทยที่เป็นบทเรียนสำคัญคือการปนเปื้อนของสารหนูที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ย้อนเหตุการณ์ไปปลายปี พ.ศ.2530 ราวเดือนสิงหาคม มีผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งเป็นชาวบ้านในอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ป่วยไม่ทราบสาเหตุด้วยอาการทางผิวหนัง ฝ่ามือ ฝ่าเท้ามีตุ่มแข็ง ผิวตัวดำผิดปกติ หลังจากที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จากการตรวจชิ้นเนื้อแพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากการได้รับพิษ “สารหนูเรื้อรัง” หรือที่ชาวบ้านเรียก “ไข้ดำ” วัดระดับสารหนูในผม เล็บ เนื้อเยื่อ เลือดสูงกว่าปกติ

เมื่อทำการตรวจสอบเบื้องต้นโดยเก็บตัวอย่างน้ำดื่มที่บ้านผู้ป่วยมาตรวจพบว่ามีสารหนูปนเปื้อนสูงผิดปกติถึง 2.47 ppm. และเมื่อตรวจคนในครอบครัวผู้ป่วยอีก 8 คนก็พบว่าได้รับสารหนูเช่นเดียวกัน (จันทร์เพ็ญ,2535)

จากการสอบสวนสาเหตุและแหล่งกำเนิดของสารหนูจากรายงานของกรมทรัพยากรธรณีพบว่า เกิดจากเหมืองแร่ดีบุกและวุลแฟรมเก่าที่ทิ้งร้างไว้มานานและกากตะกอนร่อนแร่ที่ทิ้งไว้มีแร่อาร์ซิโนไพไรต์เกิดขึ้นปะปนอยู่ในสายแร่ได้ก่อให้เกิดการแพร่กระจายของสารหนูสู่สิ่งแวดล้อม โดยสารหนูเป็นธาตุที่พบอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติในปริมาณที่แตกต่างกันมักสะสมอยู่ในหิน แหล่งแร่ ในรูปสารประกอบซัลไฟด์ วาเลนซีของสารหนูที่พบในธรรมชาติมี 3 สถานะ ได้แก่ 0, +3  มีความเสถียร   และมีความเป็นพิษมากกว่า  วาเลนซี +5 ซึ่งไม่เสถียร

ธาตุสารหนูเป็นองค์ประกอบของแร่ประมาณ 245 ชนิดที่พบทั่วไปคือเป็นองค์ประกอบของแร่อาซิโนไพไรท์  ปริมาณสารหนูในแร่มีแตกต่างกัน  ตั้งแต่ประมาณ 0.02-0.5 %โดยมีกระบวนการทำเหมืองแร่และกระบวนการแต่งแร่ดีบุกเป็นตัวเร่งให้เกิดการแพร่กระจายของสารหนูในปริมาณที่สูงขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่กระจายของสารหนู คือลักษณะทางธรณีวิทยา ปฐมวิทยา ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะอุทกวิทยา มีผลต่ออัตราการชะล้างและการพัดพาสารหนูจากแหล่งกำเนิดไปสะสมตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ โดยปริมาณสารหนูที่ปนเปื้อนในบ่อน้ำผิวดิน มีค่าอยู่ระหว่าง 0.2-0.83 mg/l และในบ่อน้ำบาดาลพบปริมาณสารหนูอยู่ระหว่าง 0.05-1.00 mg/l

การตรวจสุขภาพคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช

          การตรวจสุขภาพคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ตำบลร่อนพิบูลย์ (สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์/รพ.ร่อนพิบูลย์และ สสจ.นครศรีธรรมราช)

ผู้ป่วยโรคพิษสารหนูเรื้อรังระดับ 1-4 ที่พบในการสำรวจระหว่างตุลาคม 2530-กันยายน 2531

หลังจากพบผู้ป่วยดังกล่าวทางหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินสอบสวนโรคทางระบาดวิทยาและพบว่าในตำบลร่อนพิบูลย์มีผู้ป่วยจากพิษสารหนูจำนวน 824 ราย โดยพบผู้ป่วยระดับ 1 จำนวน 637 ราย ระดับ 2 จำนวน 152 ราย ระดับ 3 จำนวน 29 ราย ระดับ 4 จำนวน 6 ราย ขณะเดียวกันยังพบผู้ป่วยในพื้นที่อำเภออื่นจำนวน 147 ราย ทั้งหมดมีประวัติเคยเข้ามาทำงานหรืออาศัยอยู่ในร่อนพิบูลย์มาก่อน (หมายเหตุ แบ่งโรคเป็น ระยะต่างๆ ดังนี้ ระยะ 0 ไม่พบรอยโรคบนผิวหนัง แต่ปริมาณสารหนูในเล็บ และ เส้นผมสูงขึ้น ระยะ IA  มี Pigment  บริเวณฝ่ามือ ระยะ IB  เป็นระยะที่มีตุ่มน้ำ เท่าหัวเข็มหมุด ระยะ II  มีตุ่มน้ำจำนวนมาก ระยะ III   Bowenoid เปลี่ยนแปลง  ระยะ IV  เกิด Epithelioma , Bowen’s disease และ Squamous cell carcinoma ) 

 กองอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย สำรวจตรวจสุขภาพประชาชนในตำบลร่อนพิบูลย์ในปี 2531 จำนวน 15,988 คน พบสารหนูในร่างกายจำนวน 419 คน คิดเป็นร้อยละ 2.6

 อรุณ และคณะ ทำการศึกษาระดับสารหนูในเส้นผม เล็บ เลือดและปัสสาวะของสตรีตั้งครรภ์และน้ำนมหลังคลอดบุตรในตำบลร่อนพิบูลย์ (รายงานในปี 2535) พบว่า จากจำนวนตรวจ 104 ราย พบมีสารหนูสูงกว่าระดับปกติในเส้นผม 21 ราย ในเล็บ 47 ราย ในเลือด 3 ราย ปัสสาวะ 18 ราย และตรวจพบสารหนูในน้ำนมมารดาอีก 11 ราย และผลการศึกษายังพบว่าเด็กทารกที่เกิดจากแม่ที่มีสารหนูในร่างกายนั้นพบว่าเด็กทารกจำนวน 14 รายตรวจพบสารหนูในเส้นผม และในเล็บ 13 ราย และมีค่าสูงกว่าปกติถึง 6 ราย

การตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารหนูปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมที่อำเภอร่อนพิบูลย์

จันทร์เพ็ญ (2535) รายงานปัญหาพิษสารหนูในอำเภอร่อนพิบูลย์ จากการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า ในดิน 40 ตัวอย่าง มีสารหนูปนเปื้อนเฉลี่ย 28.34 mg/kg และกองระบาดวิทยาพบ 22.95 mg/kg และกรมวิทยาศาสตร์บริการตรวจดินที่บ้านผู้ป่วยรายแรกพบว่ามีค่าสารหนูสูงถึง 183 mg/kg และข้อมูลของ อารี (2534) การแพร่กระจายของสารหนูในสภาพแวดล้อมที่ตรวจตัวอย่างดินจำนวน 143 ตัวอย่างในพื้นที่ 12 ตารางกิโลเมตรพบว่ามีสารหนูอยู่ระหว่าง 50-5,200 mg/kg

อนงค์ (2537) รายงานการศึกษาสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาการแพร่กระจายของสารหนูอำเภอร่อนพิบูลย์พบว่า ปริมาณสารหนูที่ตรวจพบในฤดูฝนจะมีค่ามากกว่าในฤดูแล้ง

กรมควบคุมมลพิษ (2541) ตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารหนูปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมที่อำเภอร่อนพิบูลย์

บรรจง (2541) รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ดัชนีชี้วัดทางชีวภาพของการปนเปื้อนสารหนูพบว่าพืชน้ำที่ตรวจพบสารหนูสูงที่สุดคือผักตบชวา สัตว์น้ำที่ตรวจพบสารหนูสูงสุดคือหอยขม

จากข้อมูลบทเรียนการปนเปื้อนพิษสารหนูที่เกิดขึ้นในตำบลร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ 38 ปีก่อน คือผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่ล้มป่วยด้วยพิษสารหนูและเกิดโรคมะเร็งจากเหมืองแร่ดีบุกเก่าที่เกิดขึ้นแค่ในพื้นที่อำเภอร่อนพิบูลย์อำเภอเดียว หากเรานำมาเปรียบเปรียบกับการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่มหาศาล เฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกกมีประมาณ 7,895 ตารางกิโลเมตร

น้ำที่ปนเปื้อนสารหนูนั้นเข้าไปสู่เรือกสวนไร่นาทุกหนแห่งที่น้ำไปถึง พืชผลทางการเกษตรอาจจะปนเปื้อนสารพิษเหล่านี้ แหล่งอาหารในแม่น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลาไม่สามารถยืนยันได้ว่าปลอดภัย ถามว่าพื้นที่ทางการเกษตรแหล่งปลูกข้าว พืชพรรณธัญญาหารจะปนเปื้อนขนาดไหน ?

หลายคนต่างอำเภอคิดว่าไม่ได้ใช้น้ำจากแม่น้ำที่ปนเปื้อนแต่อย่าลืมว่าท่านกินอาหารจากแหล่งปลูกที่ไหน อนาคตผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคนในเชียงรายจะเป็นอย่างไร ตายผ่อนส่งหรือไม่ จะเป็นเช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นที่ร่อนพิบูลย์หรือไม่

ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจของคนเชียงรายนั้นมหาศาล โดยเฉพาะในอนาคตจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อย สถานการณ์เช่นนี้เร่งด่วนที่ต้องแก้ไขเยียวยา ดังนั้นในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เชิญชวนทุกคนออกมาร่วมกันแสดงจุดยืนปิดเหมืองแหล่งกำเนิดมลพิษในรัฐฉาน ร่วมส่งเสียงและร่วมลงชื่อส่งไปยังรัฐบาลทั้งไทย เมียนมา จีน และกองกำลังว้า

—————–