Search

ผู้เชี่ยวชาญชี้ฝายดักตะกอนไม่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายสารโลหะหนัก เตือนใช้มาตรการทางวิศวกรรมผิดประเภทจะกลายเป็นการเพิ่มภาระ ขณะที่ ทส.ฉวยจังหวะคิดการใหญ่ของบกว่า 7 พันล้านผนวก 3 โครงการไว้ด้วยกัน ทำเขื่อนขั้นบันไดบนแม่น้ำกก

เมื่อวันที่ 12 มิถุนาย 2568 ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่รัฐบาลผลักดันให้ทำเขื่อนหรือฝายดักตะกอนในแม่น้ำกกเพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของสารโลหะหนักที่ไหลมาจากเหมืองแร่ต้นน้ำในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า ว่าก่อนจะมีใคร หรือหน่วยงานใด ออกแบบฝายดักตะกอน เพื่อกำจัดสารหนู หรือโลหะหนัก ในแม่น้ำกก-น้ำสาย ที่มาจากการทำเหมืองในพม่า แน่ใจแล้วหรือว่า แต่ละคนที่พูดเรื่องนี้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง ‘ฝายดักตะกอน (Sediment Trap)’ กับบ่อ หรือ ‘เขื่อนกักกากแร่’ ที่เรียกว่า ‘tailing dam’ อันเป็นมาตรการทางสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ที่มีการสร้างในต่างประเทศแต่ยังไม่มีในประเทศไทยมาก่อน

ผศ.ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดเชิงเทคนิค ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรรัฐ ขอให้ข้อมูลเบื้องต้น โดยประเด็นข้อเท็จจริงทางวิศวกรรม

ฝายดักตะกอน (Sediment Trap) ใช้ดัก ตะกอนแขวนลอย หรือดิน ทราย ที่พัดพามากับน้ำไม่สามารถดักจับ โลหะหนักที่อยู่ในรูปละลาย หรือปะปนกับอนุภาคละเอียดระดับ colloid ได้ และไม่มีระบบกรองหรือบำบัดสารเคมีปนเปื้อน

อาจารย์คณะวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า หลักการคำนวณทางวิศวกรรม (Engineering Design Principles) Sediment Trap (ฝายดักตะกอน) คำนวณง่าย ใช้หลักการ hydrology พื้นฐาน และพิจารณา Q (อัตราการไหล), settling velocity ของตะกอน และ residence time ใช้สูตร Stoke’s Law หรือ empirical design charts ในการกำหนดขนาดบ่อ ไม่มีการคำนวณ stability แบบ geotechnical ละเอียดเหมือน tailing dam

.

นักวิชาการผู้นี้กล่าวด้วยว่า ในส่วนของ Tailing Dam (บ่อกักเก็บกากแร่) เป็นโครงสร้างเฉพาะสำหรับกักเก็บกากแร่และน้ำเสียจากกิจกรรมเหมือง หลักการคำนวณทางวิศวกรรม (Engineering Design Principles)

การออกแบบต้องใช้หลักการทาง Geotechnical Engineering, Hydrology, และ Hydraulic Engineering ครบถ้วน โดยข้อมูลที่ต้องใช้ในการออกแบบคือปริมาณกากแร่และน้ำทิ้งตลอดอายุโครงการ (Life-of-Mine tailings production) คุณสมบัติดินตะกอน (particle size, specific gravity, shear strength)  คุณสมบัติน้ำและสารเคมี (pH, toxic content) ปริมาณฝนตกสูงสุดในรอบหลายปี (PMF: Probable Maximum Flood) การแผ่แรงน้ำและแรงดัน (hydrostatic pressure, seepage)

“ความเสี่ยงที่ควรตระหนัก ฝายดักตะกอนธรรมดาไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายของโลหะหนักลงสู่แม่น้ำได้ หากการออกแบบผิดประเภท อาจเกิด “มาตรการลวง” (false solution) ที่ทำให้ภาครัฐเสียงบประมาณ แต่ไม่เกิดผลเชิงสิ่งแวดล้อม กรณี tailing dam ล้มเหลว เช่น ในบราซิลและแคนาดา ส่งผลกระทบรุนแรงทั้งต่อสิ่งแวดล้อม ชีวิตประชาชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงต้องออกแบบอย่างรอบคอบตามหลักวิศวกรรม”ผศ.ดร.สิตางศุ์ระบุ

.

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯกล่าวว่า ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ในเรื่องนี้ คือ 1.ควรแยกแยะโครงสร้างตามวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน เพราะฝายดักตะกอนใช้กับตะกอนทั่วไป ไม่ใช่เครื่องมือจัดการมลพิษอันตรายจากเหมือง 2. ผลักดันให้เกิดกลไกความร่วมมือข้ามพรมแดน เช่น MOU ด้านสิ่งแวดล้อม หรือข้อตกลงตามกรอบแม่โขง (MRC) เพื่อเรียกร้องให้ประเทศต้นน้ำ สร้างหรือปรับปรุงระบบ tailing dam ให้ได้มาตรฐานสากล  3. เสนอมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคุณภาพน้ำระยะยาว โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาควิชาการ เช่น มหาวิทยาลัยในพื้นที่ กรมควบคุมมลพิษ 4. สนับสนุนงานวิจัยและการประเมินผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน รวมถึงพัฒนาแผนปฏิบัติการรองรับมลพิษในพื้นที่ตอนล่าง เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า หรือ mobile treatment units กรณีฉุกเฉิน

“การเลือกใช้มาตรการทางวิศวกรรมผิดประเภท เช่น การใช้ฝายดักตะกอนเพื่อจัดการโลหะหนัก อาจไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังเพิ่มภาระให้รัฐโดยไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง จำเป็นต้องใช้ข้อมูลวิชาการและแนวทางเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปกป้องสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน”นักวิชาการด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ได้เสนอโครงการก่อสร้างฝายดักตะกอน เพื่อแก้ไขปัญหากรณีพบสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานใน “แม่นํ้ากก” ระยะเร่งด่วน โดยระยะสั้นก่อสร้าง 1. ระบบดักตะกอนแบบฝายและตัวกลางดูดซับชั่วคราว จํานวน 10 แห่ง งบประมาณ 538ล้านบาท 2. แก้มลิงร่วมกับบึงประดิษฐ์ลอยนํ้า จํานวน 14 แห่ง งบประมาณ 438ล้านบาท

ส่วนระยะยาว ก่อสร้างประตู ระบายนํ้าแบบขั้นบันได จํานวน 13แห่ง งบประมาณ 7,640ล้านบาท และมีงบประมาณใช้บํารุงรักษา 1. ขุดลอกตะกอน (ฝายดักตะกอน) จํานวน 10 แห่ง งบประมาณ 200ล้านบาท/ปี 2. ขุดลอกตะกอน (แก้มลิง) จํานวน 14 แห่ง งบประมาณ 70 ล้านบาท/ปี 3. เปลี่ยนตัวกลางดูดซับชั่วคราว(ฝายดักตะกอน) จํานวน 10 แห่ง งบประมาณ 23ล้านบาท/ปี 4. เปลี่ยนทุ่นดักสวะ  Log Boom (ฝายดักตะกอน) จํานวน 10 แห่ง งบประมาณ 2 ล้านบาท/ปี รวมงบประมาณรวม 976 ล้านบาท

————

On Key

Related Posts