เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย มูลนิธิบูรณะนิเวศร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เปิดผลตรวจมลพิษแม่กก-แม่สาย ช่วงน้ำหลาก โดย ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักในตัวอย่างน้ำ ดิน ตะกอนดินและพืชผลทางการเกษตร ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก-น้ำสาย จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย และให้ความเห็นต่อผลการศึกษาและแนวทางการแก้ปัญหาโดย เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ประเทศไทย องค์กรแม่น้ำนานาชาติ สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยอิสระและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน ดำเนินรายการโดยสถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา
ผศ. ดร. ว่าน วิริยา หัวหน้าทีมวิจัยและตรวจวัดสารโลหะหนักกล่าวว่า การวิเคราะห์สารโลหะหนักของทีมวิจัย มช. ใช้วิธีการตรวจวัดสารโลหะหนักจาก 4 ประเภทตัวอย่าง ได้แก่ ดิน ตะกอน น้ำ และพืชผลทางการเกษตร โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์โลหะหนักใช้มาตรฐานสากล ใช้เทคนิคเดียวกันกับกรมควบคุมมลพิษ ทั้งในส่วนของแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในช่วงชายแดนไทยพม่า และในฝั่งประเทศไทย โดยหาทั้งหมด 27 องค์ประกอบ/ธาตุ คุณภาพน้ำที่ตรวจวัดจากการเก็บตัวอย่าง 9 แห่ง พบว่ามีสารโลหะหนักปนเปื้อนทั้งในส่วนของสารหนู (As) แคดเมียม (Cd) แมงกานีส (Mn) และนิกเกิล (Ni) เกินค่ามาตรฐาน


ผศ.ดร.ว่าน กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจวัดสารปนเปื้อนของกรมควบคุมมลพิษพบว่ามีความใกล้เคียงกัน แม้จะเก็บคนละช่วงเวลา ซึ่งในส่วนของทีมวิจัยพบว่าที่ชายแดนไทย -พม่า บริเวณด่านแม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารพิษเกินค่ามาตรฐานสูงมากเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น เพราะช่วงที่เก็บตัวอย่างน้ำเป็นช่วงฝนแรกทำให้เกิดการชะสารพิษมาก เพราะฉะนั้นไม่ได้มีเพียงสารหนูที่เกินค่ามาตรฐาน แต่สื่อมักเน้นการนำเสนอไปที่สารหนูเป็นหลัก ดังนั้น จึงอยากชี้เห็นว่ามีสารโลหะหนักอื่นที่สูงและเกินค่ามาตรฐานด้วยและควรให้ความสนใจเพราะนอกจากสารหนู สารอื่น ๆก็มีพิษและส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
หัวหน้าทีมวิจัยและตรวจวัดสารโลหะหนักกล่าวว่า ในส่วนของตะกอนดินและดินพบว่า ตะกอนดินมีการปนเปื้อนสารหนูสูงมาก และไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์หน้าดิน ส่วนนิกเกิลก็สูงมากแม้ไม่เกินเส้นแดงแต่ไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์หน้าดิน เมื่อเทียบกับการตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษพบว่าตะกอนดินจากท่าเรือสามเหลี่ยมทองคำ (แม่น้ำโขง พรมแดนไทยลาว) มีค่าสารหนูปนเปื้อนสูงและเกินค่ามาตรฐานเช่นเดียวกับการตรวจวัดของทีมวิจัยซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ต่างกันคือในบริเวณชายแดนไทยพม่า การตรวจวัดสารหนูในตะกอนดินของทีมวิจัยกลับพบน้อยกว่ารายงานของกรมควบคุมมลพิษที่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจเกิดจากการฟุ้งกระจายเนื่องจากมีปริมาณน้ำมามากในช่วงเก็บตัวอย่าง
ผศ.ดร.ว่าน กล่าวว่า นอกจากสารหนูแล้ว สารปนเปื้อนอื่น ๆ เช่น ตะกั่ว มีการปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานจากตัวอย่างตะกอนดินที่เก็บได้บริเวณฝายเชียงราย อ.เมืองเชียงราย ทั้งในส่วนของทีมวิจัย มช. และกรมควบคุมมลพิษ ส่วนเกณฑ์แมงกานีสแม้ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานแต่ก็พบว่ามีค่าปนเปื้อนสูงมาก ขณะที่นิกเกิลและแคดเมียมเองก็มีการปนเปื้อนสูงในหลายจุดเช่นกัน ส่วนทองแดงและสังกะสีไม่ได้เกินค่ามาตรฐาน
ในการตรวจพืชผลทางการเกษตร พบว่าไม่มีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน แต่พบว่ามีการปนเปื้อน ซึ่งไม่รู้ว่าหากมีการสะสมไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานจะส่งผลอย่างไร
นักวิชาการ มช.กล่าวว่า ในส่วนความเสี่ยงต่อสุขภาพ มีการคำนวณหลายรูปแบบ อันดับแรก คือ ดัชนีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง อาจจะเป็นความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคอื่น ๆ หรือที่เป็นสารเดียวซึ่งเรียกว่า Hazard Quotient – HQ ซึ่งอิงการคำนวณตามมาตรฐานสากลทั้งองค์การอนามัยโลก WHO และ US EPA ซึ่งหากนำแม่น้ำกก มาดื่มสองลิตรต่อวัน และการสัมผัสในรูปแบบอื่นทั้งในส่วนของการหายใจและผิวหนังในทุกวันก็จะทำให้เกิดอันตรายและโรคต่าง ๆ ได้
ส่วนดัชนีความเสี่ยงรวม หรือ Hazard Index – HI ซึ่งไม่ใช่การตรวจวัดเพียงสารเดียว แต่มีสารหนู แคดเมียม โครเมียม ตะกั่ว และนิกเกิล ค่าการตรวจวัดที่ยอมรับได้คือน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ถ้ามากกว่านั้นก็คือเสี่ยงและยอมรับไม่ได้ เมื่อเอาค่าเหล่านี้ไปคำนวณความเสี่ยงพบว่าในส่วนของการกินและดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก พบว่ามีความเสี่ยงอย่างมากทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยในส่วนของผู้ใหญ่ค่าสารหนูอย่างเดียวเกินมากว่า 42 เท่า และเมื่อคิดค่าสารโลหะหนักรวมพบว่าเกินมากถึง 64 เท่า ส่วนในเด็กเสี่ยงกว่าผู้ใหญ่มาก เพราะการรับสัมผัสต่างจากผู้ใหญ่ โดยเด็กมีความเสี่ยงต่อค่าสารหนูอยู่ที่ 65 เท่า และเมื่อรวมค่าสารปนเปื้อนต่าง ๆ รวมกันจะพบว่าเสี่ยงมากถึง 100 เท่า
ผศ.ดร.ว่านกล่าวว่า ส่วนการสัมผัสทางผิวหนังนั้น ผู้ใหญ่อาจไม่พบความเสี่ยงเกินค่ามาตรฐาน แต่ในเด็กพบว่ามีความเสี่ยงมากถึง 1 เท่ากว่าสำหรับสารหนู และหากคำนวณรวมทั้งหมดจะเสี่ยงมากถึง 3 เท่า เมื่อคำนวณจากความเสี่ยงโรคมะเร็ง (Cancer Risk) ซึ่งอ้างอิงจากการคำนวณ US EPA พบว่ามีความเสี่ยงสูงมากโดยในหลายพื้นที่โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทยพม่า อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีความเสี่ยงมะเร็งสูงมากถึง 10 เท่า รองลงมาคือ ท่าตอน จ.เชียงใหม่ ส่วนท่าเรือสามเหลี่ยมทองคำก็สูงเช่นกันแต่ไม่มาก สาเหตุที่ชายแดนไทยพม่า และท่าตอนมีค่าความเสี่ยงสูงเนื่องจากเป็นพื้นที่ต้นน้ำที่อยู่ติดพม่ามากที่สุด ดังนั้นสรุปได้ว่าในส่วนของชายแดนพม่า มีความเสี่ยงการก่อโรคทั้งที่เป็นมะเร็งและไม่ใช่มะเร็งสูงที่สุด ซึ่งนี่เป็นส่วนการคำนวณจากน้ำเท่านั้น
ผศ.ดร.ว่านกล่าวว่า เมื่อดูการตรวจวัดความเสี่ยงการก่อโรคทั้งในส่วนของมะเร็งและไม่ใช่มะเร็งจากตะกอนพบว่าพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดคือท่าเรือสามเหลี่ยมทองคำ รองลงมาคือฝายเชียงราย และตามมาด้วย ต.ท่าตอน ในส่วนการพิจารณาที่มาของสารโลหะหนักพบว่าสิ่งที่มีผลมากที่สุดคือ 29% ของสารโลหะหนักมาจากการชะล้างหน้าดิน 23% จากเหมืองแร่ 13% มาจากการทำเกษตรและน้ำเสีย 13% มาจากแหล่งกำเนิดมลพิษในเขตเมือง/อุตสาหกรรม และการตกสะสมจากชั้นบรรยากาศ และ 22% อื่น ๆ ซึ่งนี่เป็นการคำนวณอย่างง่ายเท่านั้น
“แต่เมื่อใช้การคำนวณที่ซับซ้อนขึ้นโดยใช้โมเดลทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ Positive Matrix Factorization – PMF ซึ่งเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติขั้นสูงมาวิเคราะห์สัดส่วนแหล่งกำเนิดมลพิษ (Source Apportionment) พบว่าโลหะในน้ำมาจากหลายแหล่งโดยแบ่งเป็น การทำเหมืองแร่ 38% การพังทลายของหน้าดิน/การผุกร่อนของชั้นหิน 31% การเกษตร 19% และน้ำเสียจากชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม 12% กล่าวคือสารโลหะหนักที่พบในน้ำส่วนใหญ่มากจากการทำเหมืองแร่ชัดเจน” ดร.ว่าน กล่าว
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าวว่า จากการลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเพิ่มเติมจากที่หน่วยงานราชการทำอยู่พบว่า ณ ตอนนี้เจอสารปนเปื้อนในพืชผลทางการเกษตรไม่สูงมาก ยังอยู่ในระดับที่รับประทานได้ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก และขอชื่นชมกรมควบคุมมลพิษที่ดำเนินการเร็วและมีการเผยแพร่ผลการตรวจวัดอย่างสม่ำเสมอ แต่ในระดับของภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนจังหวัด และระดับท้องถิ่น พบว่าการตรวจวัดที่ผ่านมายังไม่เพียงพอ การตั้งคณะกรรมการสองชุดที่จัดการปัญหานี้ก็อาจเป็นเพียงการลดทอนความไม่พอใจ รัฐต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการเจรจาเพื่อลดทอนปัญหานี้ตั้งแต่แหล่งกำเนิด
“การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธที่ต้นน้ำ (ในรัฐฉาน) มีแน่นอน รวมถึงมีการทำเหมืองอื่น ๆ เช่น เหมืองทองคำ ด้วย การทำเหมืองเหล่านี้จำเป็นต้องมีการขุดเจาะและใช้สารเคมี ซึ่งเปลือกโลกมีการแร่ธาตุและโลหะหนักเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นการไปเปิดหน้าดิน ขุดเจาะ หรือใช้สารเคมีในการทำเหมืองก็จะเป็นการปนเปื้อน หากหาทางให้ประเทศต้นทางจัดการปัญหาไม่ได้ ก็จะเป็นปัญหาในระยะยาว พื้นที่นี้จะกลายเป็นพื้นที่ปนเปื้อนที่ใหญ่ที่สุดของไทยและของทั้งภูมิภาคอาเซียน”เพ็ญโฉม กล่าว
ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าวว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธขณะนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจับตาอย่างมาก แร่หายากบางชนิดมีมูลค่ามากกว่าทองด้วยซ้ำ และเมื่อโลกมุ่งสู่การพัฒนาสู่ยุคดิจิทัล พลังงานสะอาด และ AI ความต้องการแร่เหล่านี้ก็จะมีมากขึ้น เพราะเป็นวัตถุดิบที่ต้องใช้ในอุตสาหกรรมสมัยใหม่เหล่านี้ การขุดแร่เหล่านี้มาใช้จึงจะมีมากขึ้น โดยจีนถือเป็นประเทศที่ถือครองแร่หายากมากที่สุด เมียนมาก็มีแร่ชนิดนี้อยู่เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้น หากไม่สามารถหยุดวิกฤตนี้ได้ก็จะกลายเป็นพื้นที่หายนะทางสิ่งแวดล้อม เชียงรายซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเศรษฐกิจดีจากการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทุกวันนี้เราเห็นความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนในทุกภาคส่วน และปัจจุบันยังไม่มีการชดเชยใด ๆ จากภาครัฐ
เพ็ญโฉมกล่าวว่า ประเด็นต่อมาคืออาหารและน้ำสะอาดที่มีความเสี่ยงในการสะสมของสารโลหะหนักไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในส่วนของปลาและพืชผล ทำให้ในอนาคตพื้นที่นี้จะกลายเป็นพื้นที่ยากจนใหม่ มีความเสี่ยงที่จะเป็นพื้นที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจสูงมาก ประเด็นที่ตามมาคือเรื่องสุขภาพ แม้ว่าจะมีหน่วยงานด้านสาธารณสุขติดตามตรวจสอบปัญหานี้ แต่ความเสี่ยงในระยะยาวนั้นน่าเป็นห่วง ซึ่งนี่เป็นโจทย์ของหน่วยงานด้านสาธารณสุขว่าในอนาคตจะรับมืออย่างไร เมื่อดูจากคณะกรรมการที่ถูกจัดตั้งโดยภาครัฐทั้งในส่วนของเชียงรายและเชียงใหม่ ต้องไม่ทำหน้าที่เฉพาะการติดตามหรือเฝ้าระวัง แต่ต้องนำข้อมูลที่ได้จากการเฝ้าระวังไปพัฒนาต่อทั้งในส่วนของการแก้ไขปัญหาและการหนุนเสริมการเจรจาต่อรองกับประเทศต้นทางอย่างเมียนมาและจีนในฐานะผู้ลงทุนในเหมืองให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง