ปิยนันท์ จิตต์แจ้ง

เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มจากเสียงปืน แต่เริ่มจากภาพถ่าย… “ปลาแข้ป่วย” ที่ชาวบ้านจับได้ในแม่น้ำโขงมีตุ่มแดงช้ำขึ้นอยู่เต็มใต้ปากและครีบ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมจะเป็นฤดูน้ำแดง ปลาจะชุกชุม ชาวบ้านริมน้ำโขงและลำน้ำสาขาต่างรู้ว่าเป็นช่วง “ปลาขึ้น” โดยเฉพาะปลาแข้ ซึ่งเป็นปลาหนังที่ชาวบ้านนิยมกินทำให้มีราคาดี ร้านอาหารจะสั่งจองจากคนหาปลาไว้เลย
ปลาแม่น้ำโขงขายได้ราคากว่าปลาเลี้ยงในบ่อในกระชังมาก แต่ปีนี้กลับไม่เป็นเหมือนเดิม ราคาปลาวูบลงไปในเดือนที่ปลากำลังว่ายขึ้นมาในช่วงฤดูน้ำหลาก และเป็นช่วงที่ชาวประมงมีรายได้เพิ่มขึ้นประจำปี
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาชาวประมงริมแม่น้ำโขง ตั้งแต่เชียงแสน เชียงของ ไปจนถึงเวียงแก่น พบว่าปลาแข้ขนาดเล็กที่จับได้ น้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม เกือบทุกตัวมีตุ่มพุพองอย่างน่ากลัว
ภาพปลาป่วยถูกส่งต่อกันอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ ทำให้ข่าวแพร่ไปไกลถึงประเทศลาว เกิดเป็นกระแสที่แรงกว่าน้ำหลากเพราะเชื่อว่าเป็นผลมาจากสารปนเปื้อนในแม่น้ำทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำรวกต่างเผชิญค่าสารโลหะหนักสูงเกินมาตรฐานซึ่งเกิดจากเหมืองแร่ที่บริเวณต้นแม่น้ำในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า
ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำรวกต่างเผชิญค่าสารโลหะหนักสูงเกินมาตรฐานซึ่งเกิดจากเหมืองแร่ที่บริเวณต้นแม่น้ำในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า
สบกก: ชุมชนนักสู้ผู้โรยแรง

ลุงบุญธรรม ชาวประมงบ้านสบกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เล่าว่า ตอนนี้ลำบากมาก เพราะไม่มีคนกล้าซื้อปลา โดยเฉพาะในช่วงเดือนมิถุนายน กรกฎาคมที่ผ่านมา
“พอมีข่าวว่าปลาป่วย คนก็ไม่ซื้อเลย บางทีก็พอขายได้ แต่ราคาตกมาก ปกติกิโลละ 280 บาท ตอนนี้เหลือแค่ 150-200 บาท โดยเฉพาะปลาแข้ขายไม่ได้เลย สุดท้ายก็ต้องเก็บเอามากินกันเองในครอบครัว” ลุงบุญธรรมกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
บ้านสบกกเป็นชุมชนชาวประมงปากแม่น้ำกกโดยกำเนิด พวกเขาไม่ใช่คนที่จะยอมจำนนต่อโชคชะตาง่ายๆ เสียงของพวกเขาเคยดังจนสามารถคัดค้านโครงการระเบิดแก่งแม่น้ำโขงมาแล้ว พวกเขายังทวงคืนพื้นที่เกาะช้างตายจากผู้รุกล้ำด้วยเช่นกัน
ความเป็น “คนบ้านเดียวกัน” ทำให้บรรยากาศของที่นี่ยังคงอบอุ่นท่ามกลางปัญหา แต่หลายปีมานี้พวกเขาถูกโจมตีจากศัตรูที่มองไม่เห็นซึ่งมาพร้อมกันจากทุกทิศทาง ทั้งน้ำที่ขึ้นลงผันผวนจากเขื่อนจีน ปริมาณปลาที่ลดลง และน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้น
ผลกระทบไม่ได้อยู่แค่ที่ชาวประมง ตลาดปลาที่เคยคึกคักก็เงียบเหงา ร้านอาหารริมโขงหลายแห่งต้องถอดเมนูปลาแม่น้ำออก เพราะนักท่องเที่ยวไม่กล้าสั่ง ทำให้รายได้ของคนในชุมชนหายไปในทันที
ท่ามกลางความสับสนและตื่นตระหนกของชาวบ้าน เสียงจากหน่วยงานภาครัฐถูกส่งผ่านมายังผู้นำชุมชน
“ค่าการปนเปื้อนโลหะหนักในเนื้อปลายังไม่เกินค่ามาตรฐานความปลอดภัย”นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย ได้ชี้แจงผลการตรวจปลาในแม่น้ำโดยระบุว่าอาการป่วยที่เห็นอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น เช่น “ปรสิต หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย” ซึ่งมักเกิดขึ้นได้ในช่วงที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง แต่ดูเหมือนคำอธิบายของประมงจังหวัดยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านได้เท่าที่ควร
เช่นเดียวกับคำชี้แจงของหน่วยงานส่งเสริมการเกษตร ที่อ้างอิงวิธีการของ FAO ในการ “ตรึงสารหนู” ในดิน และปรับวิธีการปลูกพืชเพื่อลดการดูดซึม แต่คำแนะนำของทางการกลับเข้าไม่ถึงชาวบ้านและไม่มีผลในทางปฎิบัติ
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ยืนยันว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และเกิดขึ้นในหลายพื้นที่
“เราพบว่าปลาแข้ที่ชาวบ้านจับได้ป่วยเกือบทุกตัว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปลาอ่อนแอ มีตุ่มขึ้นตามตัว ตอนนี้ได้ส่งตัวอย่างปลาไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่มหาวิทยาลัยตรวจแล้ว เพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากสารเคมีปนเปื้อนในแม่น้ำหรือไม่”
มุมมองของนักวิชาการอิสระและนักวิจัยด้านมลพิษต่างตั้งข้อสังเกตว่า แม้ค่าปนเปื้อนใน “เนื้อปลา” อาจจะยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ค่าปนเปื้อนใน “น้ำ” และ “ตะกอนดิน” นั้นสูงกว่าปกติหลายเท่า การบอกว่าปลาป่วยเพราะปรสิต ก็ไม่ได้ตอบคำถามที่แท้จริงว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้สภาพแวดล้อมของแม่น้ำอ่อนแอลง จนทำให้ปลาป่วยได้ง่ายขนาดนี้”ปัจจุบันชาวบ้านอย่างลุงบุญธรรมและชาวประมงบ้านสบกกจึงต้องอยู่ตรงกลางระหว่าง “ความจริง” สองชุด ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเลือกที่จะเชื่อในความจริงชุดใด บนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องกินและยังคงหาปลาซึ่งเป็นวิถีชีวิตคนริมน้ำโขงต่อไป
ปัจจุบันชาวบ้านอย่างลุงบุญธรรมและชาวประมงบ้านสบกกจึงต้องอยู่ตรงกลางระหว่าง “ความจริง” สองชุด ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเลือกที่จะเชื่อในความจริงชุดใด บนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องกินและยังคงหาปลาซึ่งเป็นวิถีชีวิตคนริมน้ำโขงต่อไป
สบรวก: วิถีชีวิตในเงาของคาสิโน

ห่างออกไปไม่ไกล ที่ท่าหาปลาใกล้สามเหลี่ยมทองคำ บรรยากาศกลับแตกต่างออกไป ที่นี่ไม่ใช่ชุมชนที่อยู่รวมกัน แต่เป็นจุดนัดพบของคนหาปลาจากหลายหมู่บ้านที่ถูก “เบียดขับ” มาจากทำเลเดิม เมื่อธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารเติบโตขึ้นตามแสงสีของอาณาจักรคิงส์โรมันแหล่งคาสิโนและธุรกิจสีเทาหลายประเภทที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำ
“ตาเกษม” ค่อยๆ ไต่ตลิ่งหินอันสูงชันลงไปวิดน้ำออกจากเรือที่จอดทิ้งไว้ด้วยความยากลำบาก ท่าเรือแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่หลังดงกล้วย เหมือนวิถีชีวิตดั้งเดิมที่กำลังถูกบดบังด้วยความเจริญที่ฉาบฉวยและเหลื่อมล้ำอย่างที่สุด
ความเงียบเหงาที่ขัดแย้งกับจำนวนเรือหาปลาเกือบ 30 ลำที่จอดเทียบท่าอยู่ หากไม่สังเกตอาจไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือศูนย์กลางการหาปลาของชาวประมงพื้นบ้านในสามเหลี่ยมทองคำ
เดือนสิงหาคมเป็นช่วงน้ำหลาก น้ำที่ขึ้นสูงและไหลเชี่ยวแรงเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้ชาวประมงส่วนใหญ่ต้องหยุดหาปลาชั่วคราวและหันไปทำการเกษตรหรืองานรับจ้างอื่นระหว่างรอน้ำลด
ท่าปลาแห่งนี้แตกต่างจากที่อื่น เพราะเป็นการรวมตัวของชาวประมงจากหลายหมู่บ้านที่ยึดการหาปลาเป็นอาชีพหลักอย่างจริงจัง มีการปลูกเพิงพักส่วนตัวไว้ริมน้ำ เพื่อนอนเฝ้าในช่วงฤดูหาปลา ในอดีตท่าปลาอยู่บริเวณไม่ไกลจากสบรวก แต่ความต่อเนื่องจากกิจกรรมทางธุรกิจฝั่งคิงส์โรมันส์ ได้เบียดขับให้ชาวประมงต้องถอยร่นอยู่ร่ำไป

“ช่วงนี้น้ำขึ้นสูง หาปลาไม่ได้ อยากเห็นคนหาปลาจริงๆ ต้องรอปลายเดือนนี้” ลุงแอ ชาวประมงที่แวะมาวิดน้ำออกจากเรือที่จอดทิ้งไว้อธิบายบรรยากาศอันเงียบเหงา
“ปีนี้ลำบากมาก ราคาปลาตกต่ำมาก บางครั้งขายไม่ได้จนต้องโทรให้คนฝั่งลาวมารับซื้อ แต่ต้องขายในราคาที่ถูกมาก ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา คนกลัวจนไม่กล้ากินปลาจากแม่น้ำโขง แต่พักหลังก็เริ่มมีคนกลับมากินบ้างแล้ว ลุงเองก็ยังกินเป็นปกติ”
ความกังวลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับลุงแอเพียงคนเดียว เพราะเมื่อสอบถามชาวประมงอีก 2-3 รายที่แวะเวียนมาดูแลเรือ ทุกคนยอมรับว่ารู้สึกกังวล แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร แม้เจ้าหน้าที่ประมงจะเข้ามาเก็บตัวอย่างปลาไปตรวจสอบ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำแนะนำหรือผลการตรวจสอบที่ชัดเจนกลับมา
“เรารู้ว่ามีเหมืองอยู่ต้นน้ำในฝั่งพม่า คนบ้านเราก็เห็นกันมาแล้ว แต่มันไม่ใช่ในพื้นที่ประเทศเรา มันก็คงทำอะไรไม่ได้” ลุงแอรู้สึกจนใจเพราะคิดว่าในเมื่อต้นเหตุมาจากพม่า คงแก้ปัญหายาก
ลุงแอและชาวประมงแถวสามเหลี่ยมทองคำทำได้เพียงเฝ้ารอผลการตรวจสอบ และหวังว่าปัญหาจะคลี่คลาย เหมือนที่เคยหวังมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายชีวิตชาวบ้านก็ต้องคอยปรับตัวไปกับความไม่แน่นอนที่ไม่เคยจางหายไปจากลำน้ำสายนี้
สำหรับชาวบ้านริมโขง นี่เป็นเพียงอีกหนึ่งปัญหาข้ามพรมแดนที่พวกเขาต้องเผชิญโดยไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่ต่างจากปัญหาเขื่อนในจีนที่ควบคุมสายน้ำ หรือเขื่อนในลาวที่ทำให้จำนวนปลาลดน้อยลงทุกขณะ
พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ารอเหมือนที่เคยหวังมาแล้วหลายครั้ง เหลือเพียงสายน้ำโขงที่ยังคงไหลเล่าเรื่องราวของมันต่อไป
“แผลที่มองเห็น” บนตัวปลาคือภาพสะท้อนของบาดแผลที่มองไม่เห็น ซึ่งกัดกร่อนวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างเงียบงันในลำน้ำสายนี้