เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้ประชุมเรื่องปัญหาผลกระทบแม่น้ำกก-สาย-โขง-รวก จากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ และข้อกังวลต่อโครงการฝายดักตะกอน
ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่าพื้นที่ราบลุ่มน้ำกก ใน ต.ท่าตอนมีที่ดิน 12,000 ไร่ ซึ่งมีแผนการสร้างฝายดักตะกอนในพื้นที่ ชาวบ้านเป็นห่วงเรื่องการจะปลูกกระเทียมและพืชเกษตรอื่นๆ ที่สำคัญในเดือนพฤศจิกายนนี้ ชาวบ้านอยากให้เอาดินไปตรวจเพื่อดูว่ามีสารโลหะหนักในดินหรือไม่ สำหรับโครงการฝายดักตะกอนมีประเด็นกังวล คือ 1.โครงการนี้ประชาชนไม่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น กรมทรัพยากรน้ำคิดโครงการขึ้นมาโดยลำพัง ชาวบ้านในพื้นที่แทบไม่มีใครรู้ข้อมูลเลยว่าบ้านตัวเองเป็นที่ตั้งฝายดักตะกอน จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานไปชี้แจงอย่างเป็นทางการ
ดร.สืบสกุลกล่าวว่า 2.ฝายดักตะกอนเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือไปเจรจาให้ยุติการทำเหมืองแร่ในพม่าซึ่งเป็นต้นเหตุการปล่อยสารโลหะหนักลงในแม่น้ำ 3.ผลการตรวจน้ำแม่น้ำกกครั้งที่ 9-11 ค่าสารโลหะหนักลดลงอย่างชัดเจน มีข้อสันนิษฐานว่าเป็นช่วงฤดูฝนและมีการหยุดทำเหมืองชั่วคราว สนับสนุนข้อ 2 ว่าถ้าไม่มีการทำเหมืองฝายดักตะกอนก็ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน 4.ทั้งๆ ที่ไม่มีผลการศึกษาจริงจัง เดิมจะทำฝายดักตะกอน 10 จุดแต่ทำไมลดลงเหลือ 4 จุด งบ 172 ล้านบาทเพื่อหลีกเลี่ยงการทำอีไอเอ (รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม)หรือไม่
“6.ตะกอนดินที่เป็นสารโลหะหนักจะเอาไปกำจัดที่ไหน กรมทรัพยากรน้ำก็ยังไม่มีคำตอบ บางทีก็บอกว่าเอาไปทิ้ง จ.สระบุรี พื้นที่ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง คำถามคือทำไมต้องเลือกบริษัทนี้ หรือตอบว่าเอาไปฝังในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปยังเรื่องอื่นหรือไม่ 7.เหตุใดต้องเป็นกรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการนี้ที่ไม่มีประสบการณ์จัดการปัญหามลพิษ หน่วยงานที่ควรเป็นผู้นำเสนอคือกรมควบคุมมลพิษหรือเพราะมีประสบการณ์โดยตรง 8.โครงการนี้ถูกคิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาแม่น้ำกก แต่ปัญหามีทั้งแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขงซึ่งมีสารโลหะหนัก ผู้รับผิดชอบโครงการไม่เคยคิดเลยว่าแม่น้ำสาย-รวก-โขง จะแก้ไขอย่างไร” ดร.สืบสกุล กล่าว
ขณที่ชาวบ้านหมู่ 3 บ้านท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้เข้าร่วมประชุมออนไลน์ กล่าวว่าก่อนจะมาทำฝายดักตะกอนไม่เคยมีประชาคม ไม่เคยประชุม ไม่เคยชี้แจงให้ชาวบ้านรับทราบ ขณะนี้หมู่ 3 ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะที่จะเข้าไปสร้างฝายดักตะกอนเป็นที่ทำกินของชาวบ้าน ขณะที่ยังไม่ได้เข้าไปทำที่ดักตะกอนน้ำยังท่วม ขอให้เอาโครงการนี้คืนไปเอาน้ำกกที่ใสสะอาดคืนมา
รศ.ดร.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการปนเปื้อนในลำน้ำวิธีแก้ปลายทางไม่ได้ผลเลย ทางวิศวกรรมจะไม่ยอมให้สิ่งปนเปื้อนจากแหล่งกำเนิดหลุดออกไปเพราะการแก้ยากมาก โดยเสนอให้กรมทรัพยากรน้ำเสนอตัวว่าจะทำอีไอเอ
“ประเทศไทยไม่ใช่ที่รับบำบัดของเสียที่คนอื่นผลิต ส่วนการจะไปคุยกับแหล่งต้นกำเนิดไม่มีใครจะไปคุยดีๆ ได้ ถ้าคุยดีๆ ได้วันนี้เขาคงไม่ทำเหมืองแล้วปล่อยสารพิษโลหะหนักลงในแม่น้ำ ทุกที่เขาก็ใช้กำลังในการบล็อกให้เกิดการคุยกันให้ได้ ห้ามทำเหมืองได้แต่สามารถจัดการสารที่ออกมาจากปลายเหมืองได้มันก็บรรเทา วันนี้เอาจริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไร โลหะหนักมีอีกจำนวนมากที่อันตรายและไม่ได้มีแค่สารหนู วันนี้จะทำฝายดักตะกอน ทั้งๆ ที่มีสารพิษจำนวนมากที่จะถูกผลิตและส่งลงมา คราวนี้ไม่ใช่ฝายดักตะกอนเพราะฝายดักตะกอนไปไม่ได้ เขาเปลี่ยนเป็นม่านดักตะกอน วัสดุที่เป็นแผ่นดัก”รศ.ชูโชค กล่าว
รศ.ชูโชคกล่าวว่า ม่านดักตะกอนใช้พื้นที่ก่อสร้างตรงตลิ่งหรือการก่อสร้างในทะเลถ้าเราไม่อยากให้ฝุ่นปนเปื้อน มันดักเฉพาะที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย ไม่ได้ดักตะกอนโดยตรง ซึ่งที่กรมทรัพยากรน้ำทำขึ้นมา 170กว่าล้านบาทนี่ จริงๆไม่ใช่ตัวเลขนี้ นี่แค่ค่าก่อสร้างเฉยๆ ยังไม่มีค่าดูแลรักษาจำนวนมหาศาลที่ต้องจัดการตรงนี้ โดยตนได้ติงไปแล้ว สรุปว่าม่านดักตะกอนทำแค่หน้าแล้ง หน้าฝนยก แต่จะกวาดสารโลหะหนักออกไปด้วย ซึ่งปีหน้าอาจจะมากกว่านี้ ประเด็นใหญ่คือม่านดักตะกอนไม่เหมาะสม ไม่ดักทั้งหน้าแล้งและฝน สารละลายที่มากับน้ำก็หลุดรอดไป พื้นที่อาจจะไม่ยอมให้สร้าง หลังสร้างแล้วดูดออกไป เหมือนคลิติ้ แต่นี้แม่น้ำกกนะ ขนาดต่างกันมาก ไม่อยากให้รัฐบาลรีบ
“ยกตัวอย่างเรื่องน้ำ การประปาต้องคำนวณว่าสารพิษมีอะไรบ้าง มีความเสี่ยงมากขึ้น ถ้าคุยกับแหล่งกำเนิดไม่ได้ ระยะยาวต้องไปเตรียมหาแหล่งน้ำอื่นๆไว้ ต้องเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบ แก้ระยะยาว ระยะสั้น ปัญหาคือ เราต้องเก็บตัวอย่างถูกหลักวิชาการจริงๆ ถ้ากรมควบคุมมลพิษเปิดกว้าง เราจะมีปัญหากับข้าว ที่จะเกี่ยวแล้ว จะขายไม่ได้ มีปัญหาใหญ่มาก” ดร.ชูโชค กล่าว
ด้าน ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ นิด้า กล่าวว่า ค่าเกินมาตรฐานของเมียนมาสูงกว่าค่ามาตรฐานไทย 5 เท่า ต้องเสนอไปยัง ASEAN Parliamentarians for Human Rights เริ่มจากกลไกอาเซียนน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เราต้องให้ชาวโลกรับรู้ด้วยว่าเราตกเป็นเหยื่อ
“คำถามคือใครเป็นเจ้าของบริษัท การขุดแร่แรร์เอิร์ธเอาไปขายให้ใคร บริษัทที่ได้รับผลประโยชน์มีผู้ถือหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ไหนหรือเปล่า ต้องใช้กลไกตรงนี้ในการตีแผ่ ไม่ใช่มาสร้างฝายดักจับตะกอนอย่างเดียวเพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การวัดโลหะหนักถ้าใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดตอนนี้ IPESMS เจอหมด ปัญหาคือเมื่อเจอแล้วค่านั้นมันสูงหรือต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้คือสิ่งที่เราจะต้องมาระวัง” ศ.ดร.ศิวัช กล่าวและว่า จุดยืนของทีมเราเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสร้างทั้งหมดแล้วดักร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำเท่าที่จะจำเป็นและที่กระทบต่อเราเท่านั้น ที่เหลือก็ปล่อยไป