ปิยนันท์ จิตต์แจ้ง

กับดักแห่งแรก เมื่อแม่น้ำถูกพันธนาการด้วยเขื่อน
วิกฤตการณ์ที่คนลุ่มน้ำโขงเผชิญอยู่เริ่มต้นขึ้นในปี 2538 ด้วยการสร้าง “เขื่อนม่านวาน” เป็นแห่งแรกบนแม่น้ำโขงตอนบนในประเทศจีน เพื่อผลิตไฟฟ้าให้มณฑลยูนนาน ตามแผนการพัฒนาตะวันตกของจีน
เขื่อนแม่น้ำโขงสายประธานสร้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเขื่อนขั้นบันไดที่ควบคุมการไหลของแม่น้ำโขงตอนบน
ปัจจุบันจีนสร้างเสร็จแล้ว 12 เขื่อน และยังมีแผนอีก 1 เขื่อน แนวคิดนี้ยังถูกส่งต่อมายังโขงตอนล่าง โดยมีเขื่อนไซยะบุรีและดอนสะโฮงในลาว และอีกอย่างน้อย 5 โครงการที่กำลังตามมา คือ หลวงพระบาง ปากแบง ปากลาย สานะคาม และปากชม ซึ่งไม่นับรวมเขื่อนอีกนับร้อยแห่งในแม่น้ำสาขาที่ขาดการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ
การพัฒนาโครงการมีงบประมาณและเทคโนโลยีในการกอบโกย แต่ไม่ป้องกัน เยียวยา ฟื้นฟู ความเสียหายที่กระทบต่อผู้คนลุ่มน้ำโขง
ตลอดเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เขื่อนเหล่านี้ได้กักกั้นทุกสิ่งไว้ ไม่ใช่แค่น้ำ แต่คือตะกอนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งเปรียบเสมือนปุ๋ยธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมและชีวิตใต้น้ำได้หายไป
วงจรชีวิตของปลาอพยพหลายร้อยสายพันธุ์ถูกตัดขาดเส้นทางเติบโตและขยายพันธุ์จนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ จิตวิญญาณของแม่น้ำที่เคยขึ้น-ลง ตามฤดูกาลถูกแทนที่ด้วยการควบคุมของมนุษย์ ระบบนิเวศที่ค้ำจุนเรามานับพันปีเริ่มพังทลายลง นี่คือราคาดอกแรกที่เราต้องจ่ายให้กับพลังงานที่อ้างว่าสะอาด และเราไม่เคยได้ใช้ในราคาที่เป็นธรรม ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้าที่ถูกปกปิดเป็น “ความลับทางธุรกิจ” ซึ่งผลักภาระทั้งหมดมาให้ผู้บริโภค
สัญญาณเตือนแห่งความตายปรากฏชัด เมื่อน้ำโขงช่วงท้ายเขื่อนไซยะบุรีใสจนเป็นสีฟ้า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายบทถัดไป
กับดักที่สอง จากหายนะระบบนิเวศ สู่สารพิษข้ามพรมแดน
คนเชียงรายถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายเรื่องระบบนิเวศพังทลาย ด้วยอุทกภัยดินโคลนถล่มในปี 2567 ที่ทับถมพื้นที่เศรษฐกิจริมแม่น้ำสาย เราต้องหนีตายจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากและโคลนข้นหนืดที่ท่วมทับเมืองสูงถึง3 เมตรในชั่วข้ามคืน
พื้นที่เศรษฐกิจแม่สายเคยเผชิญกับดินโคลนถล่มมาแล้วในปี 2565 เวลานั้นไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดจนกระทั่งปี 2566 ที่แม่น้ำสายขุ่นขาวผิดปกติจนน่าตกใจ ระบบประปาต้องปรับกระบวนการผลิตเพื่อกำจัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน แม้กรมทรัพยากรธรณีตรวจพบสารโลหะหนักอันตรายในตะกอนดินหลังน้ำท่วม แต่กระดิ่งเตือนภัยก็ยังไม่ดังพอที่จะปลุกให้ทุกคนตื่นรู้
จนกระทั่งชาวท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ สังเกตเห็นแม่น้ำกกที่ขุ่นตลอดทั้งปีแม้ในฤดูแล้งพร้อมกับการได้ยินข่าวจากคนต้นน้ำว่ามีการทำเหมืองแร่ตอนบน และได้ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบ จนพบสารโลหะหนักเกินมาตรฐานในลำน้ำที่มาจากเหมืองแร่ต้นแม่น้ำกกในรัฐฉาน
ภัยคุกคามใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ คนเชียงใหม่ เชียงราย และผู้คนตลอดลุ่มน้ำโขง ได้ตื่นจากฝันร้ายเรื่องเขื่อน เพื่อเข้าสู่ฝันร้ายที่ยิ่งกว่าและซับซ้อนกว่าเดิม
‘โคเคนแห่งอุตสาหกรรม’ และสงครามเทคโนโลยีโลก
สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป มันไม่ได้แค่เปิด-ปิดเป็นเวลา แต่มันกำลังบีบอัดเราจากทุกทิศทาง เสียงเครื่องยนต์ของโลกกำลังเร่งเครื่องอย่างบ้าคลั่งด้วยความกระหาย “โคเคนแห่งอุตสาหกรรม” นั่นคือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) เหมืองทอง และแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมไฮเทค ผืนแผ่นดินรอบบ้านเรากำลังถูกขุดค้นเพื่อป้อนความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้
สถานการณ์รุนแรงขึ้นเมื่อจีน ซึ่งครองตลาดแร่แรร์เอิร์ธของโลก เริ่มจำกัดการส่งออกเพื่อตอบโต้สหรัฐอเมริกาที่ระงับการจำหน่ายชิปเทคโนโลยีขั้นสูง บีบให้ บรรดาประเทศอุตสาหกรรมจึงต้องเร่งค้นหาแหล่งแร่ใหม่ เพื่อนำไปผลิตสินค้าไฮเทคที่ขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์: มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด, เซ็นเซอร์, ลำโพง เทคโนโลยี: ฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์, ลำโพงคุณภาพสูง, มอเตอร์สั่นในโทรศัพท์มือถือ พลังงานสะอาด: กังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า, มอเตอร์ในปั๊มน้ำประสิทธิภาพสูง การทหารและอวกาศ: ระบบนำวิถีขีปนาวุธ, โดรน, ดาวเทียม และเครื่องมือสื่อสาร
เสียงของ “สงครามเย็นยุคใหม่” ที่ผู้นำโลกต่างแข่งขันกันสร้างเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุด สงครามนี้ต้องการทั้งพลังงานสะอาดและแร่ธาตุ
พื้นที่ลุ่มน้ำโขง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ “เขตสังเวย” เพราะตั้งอยู่ในภูมิภาคที่เอื้อต่อการทำเหมืองต้นทุนต่ำ ซึ่งต้องจ่ายราคาด้วยมลพิษร้ายแรงทับถมลงบนวิกฤตเขื่อนและสภาพภูมิอากาศที่มีอยู่เดิม แอ่งรับน้ำและตะกอนพิษซึ่งมีเขื่อนกั้นเป็นช่วงๆ ได้สร้างวิกฤตที่ซ้ำซ้อนและซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยที่ผู้ได้รับผลประโยชน์มหาศาลในห่วงโซ่มูลค่านี้ ไม่เคยใส่ใจถึงต้นทุนทางทรัพยากรและชีวิตที่แท้จริงเลย
กฎหมายและหลักการความรับผิดชอบที่เอื้อมไม่ถึง
กับดักที่เคยบีบรัดเรา บัดนี้ได้กลายเป็น “กับดักพิษ” ที่เรากำลังจะตายอย่างช้าๆ ในกรงขังที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังนี้เอง อาจพอได้ยินเสียงของความพยายามในการสร้าง “โครงสร้างความรับผิดชอบ” เพื่อควบคุมภัยร้ายนี้
…เสียงจาก บรัสเซลส์ และ เบอร์ลิน พูดถึงกฎหมายอย่าง CSDDD ของสหภาพยุโรป และ LkSG ของเยอรมนี ที่กำหนดให้บริษัทปลายทางต้องตรวจสอบและรับผิดชอบไปจนถึงต้นทางของห่วงโซ่อุปทาน
…เสียงจาก วอชิงตัน พูดถึงอำนาจในการแบนสินค้าที่มาจากแรงงานบังคับหรือการทำลายสิ่งแวดล้อม หากปัจจุบันเสียงเหมือนเปลี่ยนไป
…เสียงจาก ปักกิ่ง พูดถึง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางสีเขียว” (Green BRI) ที่ให้คำมั่นว่าจะปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นการผลักไสเหมืองสกปรกข้ามพรมแดนมาหาเรา
สุดท้าย คือเสียงจาก กรุงเทพฯ ซึ่งพูดกับเราด้วยสองน้ำเสียงที่แตกต่างกัน เสียงแรกคือคำมั่นสัญญาผ่าน “แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” (NAP) ซึ่งเป็นชาติแรกในเอเชีย แต่เสียงที่สองคือความจริงที่ว่า แผน NAP นั้นยังไม่มีอำนาจบังคับใช้ทางกฎหมาย ขณะที่ ‘ร่างกฎหมาย HREDD’ ที่จะเป็นอาวุธชิ้นสำคัญก็ยังคงเป็นเพียง “ร่าง” ในอนาคต
ทว่า สำหรับคนหาปลาในเชียงของ คนเลี้ยงช้างริมแม่น้ำกก และชาวนาในแม่สาย บันไดจากทุกทิศทางเหล่านี้ช่างดูสูงและห่างไกลเกินเอื้อม เราจะเอาเครื่องมือจากไหนไปตรวจสารพิษในอาหาร ในน้ำ หรือในร่างกายของเราเอง?
เราจะเอาความรู้จากไหนไปไล่ตามห่วงโซ่อุปทานอันซับซ้อน ในเมื่อทุกฝ่ายต่างปฏิเสธความรับผิดชอบ? และเราจะเอาทนายจากไหนไปต่อสู้กับบรรษัทข้ามชาติในศาลระหว่างประเทศ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจากผลกระทบข้ามพรมแดน?
นี่คือความจริงอันโหดร้าย กฎหมายและหลักการถูกสร้างขึ้นในศูนย์กลางอำนาจ แต่ผลกระทบเกิดขึ้นที่ชายขอบ และช่องว่างระหว่างสองสิ่งนี้คือความเหลื่อมล้ำที่แท้จริง
ตราบใดที่ยังไม่สิ้นหวัง ก็ยังต้องหาทางเดินต่อไป โลกอาจสร้างกฎหมายไว้ที่ศูนย์กลางอำนาจ แต่ผู้ที่จะนำพากฎหมายนั้นมาสู่ริมฝั่งแม่น้ำได้ ก็คือคนลุ่มน้ำโขงและพันธมิตรที่ไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรมนี้เท่านั้น
———