เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ตรวจพบสารหนูในแม่น้ำสาละวินช่วงที่ไหลผ่านประเทศไทยสูงกว่ามาตรฐาน 5 เท่า ว่าขณะนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสาละวินทั้งฝั่งไทยและฝั่งกะเหรี่ยงที่รับรู้ข่าวสารต่างรู้สึกเป็นกังวล โดยจำนวนมากโทรเข้ามาหาตนเพราะรู้สึกเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย และเคยได้ยินข่าวแม่น้ำปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสายและแม่น้ำโขง แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองที่แม่น้ำสาละวิน
นายพงษ์พิพัฒน์กล่าวว่า ชาวบ้านไม่รู้ว่าค่าสารโลหะหนักที่เกิน 5 เท่าจะส่งกระทบต่อชีวิตของพวกเขาอย่างไร เพราะชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำสาละวินต่างมีวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำทุกวัน โดยเฉพาะในวันที่น้ำประปาภูเขาไม่ไหล ชาวบ้านทุกวัยต่างก็ลงไปอาบน้ำในแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำสาละวินยังเป็นแหล่งอาหารใหญ่ทั้งกุ้งหอยปูปลาที่ชาวบ้านหากินอยู่ทุกวัน
“ตอนนี้บางคนกังวลมาก เตือนลูกเตือนหลานไม่ให้กินปลาสาละวิน ไม่ให้ลงน้ำ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าถ้ากินแล้วจะเกิดอะไรขึ้น บางคนก็ตั้งคำถามว่าที่เคยกินปลาสาละวินอยู่ทุกวันจะเจ็บป่วยหรือไม่ ทั้งหมดกลายเป็นความกังวลต่างๆนาๆ ดังนั้นจึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงลงพื้นที่ตรวจสอบให้ชัดเจนขึ้นอีกได้มั้ย ชาวบ้านจะได้รับรู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร ที่เคยสัมผัสอยู่กับแม่น้ำก็ไม่รู้ว่ามีสารโลหะหนักอยู่ในร่างกายแล้วหรือยัง”นายก อบต.แม่สามแลบ กล่าว
นายพงษ์พิพัฒน์กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านหลายคนรู้สึกเครียดโดยเฉพาะผู้ที่ปลูกบ้านแพอยู่ในแม่น้ำสาละวินซึ่งต้องใช้น้ำสาละวินอาบและต้มกิน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีหน่วยงานราชการเข้ามาลงพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่าพอจะทราบต้นตอหรือสาเหตุที่ทำให้สารหนูปนเปื้อนน้ำสาละวินเกินมาตฐานหรือไม่ นายก อบต.แม่สามแลบ กล่าวว่า ตอนนี้ก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันเพราะแม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำใหญ่และมีลำน้ำสาขาอยู่จำนวนมาก ทำให้ไม่รู้ว่ามีลำน้ำสาขาไหนบ้างที่มีสารโลหะหนักไหลลงมา ดังนั้นจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จิสด้า ช่วยตรวจสอบให้เหมือนกับที่ตรวจสอบในต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
นส.เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers and Rights) กล่าวว่า จำเป็นต้องหาสาเหตุว่าแม่น้ำสาละวินที่พบการปนเปื้อนนี้เกิดจากอะไร ก่อนหน้านี้ข้อมูลของมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ระบุว่าบริเวณต้นน้ำสาละวิน ในลำน้ำสาขาเขตรัฐฉานซึ่งอยู่ในเขตเมืองป๊อก พื้นที่ในปกครองของทหารว้าใกล้ชายแดนจีน มีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทมากถึง 26 แห่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเกี่ยวกับการขุดแร่ในพื้นที่อื่นๆ ด้วยซึ่งแม้อาจเป็นเหมืองขนาดเล็กแต่เมื่อไม่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมควบคุมใดๆ ก็สามารถสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศได้อย่างมหาศาล
น.ส.เพียรพรกล่าวว่า ลุ่มน้ำสาละวินเป็นพื้นที่อนุรักษ์และมีคุณค่าทางนิเวศระดับนานาชาติ ในมณฑลยูนนานของจีนได้รับการประกาศเป็นเขตอนุรักษ์สามแม่น้ำไหลเคียง (Three Parallel Rivers) ซึ่งแม่น้ำสาละวิน โขง และแยงซี ไหลใกล้กัน มีความสำคัญทางนิเวศและธรรมชาติ ขณะที่ประเทศไทยริมแม่น้ำสาละวินคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติสาละวิน ส่วนฝั่งรัฐกะเหรี่ยงชุมชนได้ร่วมกันประกาศเป็นเขตอุทยานสันติภาพสาละวิน Salween Peace Park
“แต่วันนี้แม่น้ำกลับต้องปนเปื้อนสารโลหะหนัก แม่น้ำสาละวินไหลผ่านรัฐต่างๆ ของชนชาติพันธุ์ ทั้งรัฐฉาน รัฐคะเรนนี รัฐกะเหรี่ยง เป็นเขตอิทธิพลของกองกำลังต่างๆ ที่อยู่ในสงครามมายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรัฐประหารในพม่า 4 ปีที่ผ่านมา การสู้รบที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง คนคิดเพียงว่าทำอย่างไรให้มีชีวิตรอดได้ ทำอย่างไรจะหลบลูกระเบิดที่ทหารพม่าส่งเครื่องบินมาโจมตี ส่งโดรนมาโจมตี วันนี้กลับต้องมาพบว่าแม่น้ำสาละวินปนเปื้อนสารโลหะหนัก กลายเป็นความเดือดร้อนที่ซ้ำเติมเข้าไปอีก เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจน่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ชาวบ้านที่นี่ไม่มีระบบน้ำประปาที่มีมาตรฐาน ประชาชนจำนวนไม่น้อยใช้น้ำโดยตรงจากแม่น้ำสาละวิน”น.ส.เพียรพร กล่าว
 
 



