Search

ระดมสมองยื่นข้อเสนอครม.แก้ปัญหาชาวเล มอแกน-อูรักลาโว้ยเข้ากรุงร่วมงานใหญ่ นักวิชาการแนะอย่ามองแยกส่วนจากการพัฒนาเศรษฐกิจ

1397625_813716168671670_562986021764132935_o

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ที่ เวลา 14.00 น. ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพฯ มีชาวบ้านชาวเลอูรักลาโว้ย มอแกน และมอแกลน จากจังหวัดต่างๆในทะเลอันดามัน นักวิชาการ และเครือข่ายทำงานด้านชาติพันธุ์ชาวเลเข้าร่วมประมาณ 200 คน โดยได้มีการประชุมนำเสนอปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาของชาวเลในอันดามันเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนถึงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “บูรณาการแก้ปัญหาชาวเลสู่การปฏิรูปประเทศ” ในวาระงาน “รวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล” ครั้งที่ 5 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้

สำหรับบรรยากาศมีการแบ่งกลุ่มย่อยตามพื้นที่จังหวัด เปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านได้สะท้อนปัญหาและระดมแนวทางแก้ไข โดยพบว่าปัญหาของชาวเลส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย ทั้งที่เป็นผู้อาศัยมายาวนาน ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25 ชุมชนที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ทั้งในที่ดินรัฐและที่ดินเอกชนอ้างสิทธิ์ ปัญหาสุสานและพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของชาวเล ที่ได้รับผลกระทบจากกระแสการท่องเที่ยว มีการรุกที่ดินสุสานซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายหาด ปัญหาที่ทำกินทางทะเล ที่เมื่อมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ และนโยบายการท่องเที่ยว ทำให้ชาวเลซึ่งทำการประมงแบบพื้นบ้านไม่มีสิทธิ์เข้าไปหากินในพื้นที่ดั้งเดิม ทำให้ชาวเลต้องออกไปทำมาหากินในทะเลลึกโดยรับจ้างดำปลิงส่งผลให้เกิดโรคน้ำหนีบเป็นปัญหาด้านสุขภาพ รวมทั้งเรื่องอัตลักษณ์วัฒนธรรมที่กำลังถูกกลืน และเผชิญกับอคติของคนในสังคมส่วนกลาง

นอกจากนี้เครือข่ายชาวเลได้เตรียมส่งตัวแทนนำหนังสือข้อเสนอระดับนโยบายที่ได้ร่วมกันสรุปในวันนี้ไปมอบต่อคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลา 13.00 น.

นางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า ปกติทุกปีงานวันรวมญาติจะจัดขึ้นในพื้นที่อันดามัน ซึ่งเราพยายามขับเคลื่อนให้เกิดการแก้ปัญหามาตลอด แต่กลับไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงมากนัก ภาพรวมปัญหาของชาวเลนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาที่ไม่สมดุล ทั้งนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว การประกาศเขตอุทยาน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนกลุ่มนี้ ทั้งความต้องการในการใช้ที่ดินและพื้นที่ทางทะเลเพื่อการท่องเที่ยว ทำให้ชาวเลถูกขับไล่ด้วยวิธีการต่างๆ และไม่มีสิทธิเข้าไปทำมาหากินในที่ทำกินดั้งเดิม และการขาดความรู้เรื่องกฏหมายทำให้มักถูกหลอกเอาเปรียบ ชาวเลจึงเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สังคมควรปกป้องเพื่อรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสิทธิมนุษยชน

“แม้ขณะนี้ทหารจะมีลงไปในพื้นที่ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหา แต่ดูเหมือมทหารเองก็ยังคงไม่เข้าใจและไม่ทันกับปัญหาที่ซับซ้อนและรุนแรงในพื้นที่ รวมถึงไม่เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมแต่กลับมุ่งใช้กลไกราชการเหมือนที่แล้วมาลงมาจัดการปัญหา” นางปรีดา กล่าว

10733392_813717762004844_1740257056_n

ดร.นฤมล อรุโณทัย นักวิชาการจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาของชาวเลไม่ควรถูกมองแบบแยกส่วนกับนโยบายการพัฒนาประเทศ ที่มุ่งพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่กลับละเลยคุณค่าของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น และไม่ใช่เป็นปัญหาสำหรับชาวเลเท่านั้น เรื่องสิทธิชุมชนยังเป็นปัญหาร่วมกันของชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ที่กำลังมีแรงขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอยู่ทั่วประเทศ สำหรับปัญหาของชาวเลอาจมีความรุนแรงแตกต่างจากชุมชนอื่น เนื่องจากชาวเลยังคงมีวิถีชีวิตดั้งเดิมและส่วนใหญ่ยังไม่บูรณาการเข้าสู่สังคมใหญ่มากนัก

ดร.นฤมลกล่าวว่า หลายปีที่ผ่านแม้จะสามารถต่อสู้จนมีมติคณะรัฐมนตรี 2 มิถุนายน 2553 ที่เห็นชอบแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล และสื่อมวลชนเริ่มให้ความสำคัญนำเสนอข้อเท็จจริง ทำให้สาธารณะรับรู้ข้อเท็จจริงมากขึ้น มีการรวมตัวของชาวบ้านเพื่อต่อสู้ แต่รัฐบาลกลับเชื่องช้าในการปรับตัวเพื่อแก้ปัญหา จึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้รัฐเกิดความเข้าใจต่อปัญหาอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดแนวทางการพัฒนาประเทศที่คำนึงถึงสิทธิชุมชนและวัฒนธรรมไปพร้อมกัน

นายนิรันดร หยังปาน ชาวเลชุมชนราไวย์ จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สถานการณ์ที่ชาวบ้านถูกฟ้องจากนายทุนผู้อ้างสิทธิ์ในที่ดินมีจำนวนมากถึง 101 คดี จึงต้องการให้รัฐดำเนินการไม่ให้มีการฟ้องเพิ่มเร่งให้เกิดกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินว่าเป็นชุมชนดั้งเดิมและอยู่มาก่อนที่จะมีการออกเอกสารสิทธิ์ แม้ล่าสุดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จะลงมาตรวจสอบจนมีการขุดกระดูกไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอยืนยันได้ว่าเป็นที่ดินชุมชนดั้งเดิม แต่ปรากฏว่ามีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์เพียง 8 ไร่จากที่ดินทั้งหมด 19 ไร่ และนำไปสู่การยกฟ้องเพียง 9 คดี ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงถูกฟ้องขับไล่ อีกทั้งแนวโน้มการต่อสู้ในชั้นศาลมักจะยึดหลักฐานเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการเป็นหลัก การที่ชาวบ้านพยายามอ้างหลักฐานที่ชี้ถึงวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาวเลกลับไม่มีน้ำหนัก จึงอยากให้กระบวนการยุติธรรมมองถึงข้อเท็จจริงและข้อมูลวิชาการที่เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาวเลด้วย

นางแสงโสม หาญทะเล ชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะ กล่าว่า แม้จะมีการแต่งตั้งคระกรรมการระดับอำเภอเพื่อสำรวจข้อมูลและพิกัดพื้นที่ชุมชนบนเกาะหลีเป๊ะ แต่ในพื้นที่ยังคงมีการทำลายต้นมะพร้าวของชาวบ้าน สร้างกำแพงกั้นทางเดินของชุมชน มีความพยายามบีบชาวเลทุกวิถีทางให้ออกจากพื้นที่ก่อนที่การสำรวจโดยคณะกรรมการเสร็จสิ้น ชาวบ้านต้องอยู่บนเกาะด้วยความหวาดกลัว เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะยึดเอกสารหรือหลักฐานที่ราชการออกให้อย่างเดียว พยายามบีบชาวบ้านทุกรูปแบบ แต่ชาวบ้านบนเกาะหลีเป๊ะไม่มีใครยอมแพ้ จะขอสู้เต็มที่
——————-