Search

ถอดบทเรียน 10 ปีสึนามิ แนะพลิกภัยพิบัติให้เป็นโอกาส ชี้ช่องโหว่กฎหมายป้องกันสาธารณะภัย

received_828827963827157
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายภาคประชาชน ผู้แทนภาครัฐและเอกชน ร่วมจัดเวที “สรุปบทเรียน 10 ปีสึนามิ ” โดยมี นายสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพฯ เป็นประธานเปิดงาน

โดยนายสุริชัย กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ภัยพิบัติทุกอย่าง มีฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงทุกด้าน ทั้งการป้องกัน การเยียวยา การแก้ปัญหา

แต่สำหรับภาคประชาชนและภาคสังคมนั้น จำเป็นต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เท่านั้น ยกตัวอย่าง กรณีการเปิดประเทศพม่านั้น ต้องยอมรับว่ามีการฟื้นฟูประเทศและพลิกวิกฤตจากสถานการณ์นาร์กีส ขณะที่อินโดนีเซีย เมืองอาเจะห์ก็มีการเจรจาเรื่องสันติภาพและการรับผิดชอบชาติพันธุ์ในพื้นที่ภายหลังการเกิดสึนามิ ทำให้แปรจากสถานการณ์ความรุนแรงเรื่องความเสียหายมาเป็นการปลดปล่อยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไทยจึงควรเรียนรู้ข้ามประเทศ ซึ่งเหตุการณ์สึนามิของไทยที่เกิดเมื่อปี 2547 ก็ถือเป็นบทเรียนสำคัญ และภัยน้ำท่วมต่างๆก็เช่นกัน

 

“ ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นบทเรียนสำหรับการสร้างพลังเรียนรู้ ภัยพิบัติเป็นสิ่งที่ผมได้สัมผัสมาบ้าง เห็นชัดว่าการเมืองนั้นมีปัญหามาโดยตลอด ตั้งแต่การระดมทุน ไปจนถึงการช่วงชิงอำนาจเชิงสังคมและการเมืองท้องถิ่น โดยใช้โอกาสในการเกิดภัยพิบัติ ประชาสัมพันธ์ผลงานทางการเมือง มีการจัดการทรัพยากรแบบแบ่งพรรค แบ่งพวก ส่งผลให้คนประสบภัยต้องเผชิญปัญหาอย่างหนัก ดังนั้นภาคประชาชนจึงจำเป็นต้องอาศัยบทเรียนและข้อผิดพลาด ให้รู้เท่าทันการเมือง และต้องรู้จักพึ่งตนเอง จึงจะรอดพ้นจากอำนาจของนักปกครอง เช่น พึ่งรัฐให้น้อยที่สุด หาทุนให้เป็น และไม่ตกเป็นเครื่องมือของเอกชน” นายสุริชัย กล่าว

ด้านนายไมตรี จงไกร ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ กล่าวว่า ครบรอบ 10 ปีสึนามิ ภายหลังที่หน่วยงานหลายแห่งได้ผ่านช่วงเวลาในการจัดการภัยพิบัติมา ปีนี้ได้มีเสียงสะท้อนจากชาวบ้านหลายพื้นที่ยืนยันว่า ช่องโหว่ของการการจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลไทย คือ กฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คือยังขาดมาตราที่กำหนดให้ท้องถิ่นต้องทำเตรียมพร้อมป้องกันภัยด้วยชุมชน บทเรียนสึนามิจึงต้องถูกถ่ายทอดให้เกิดเป็นความร่วมมือในภัยพิบัติทุกด้าน ภายใต้โครงสร้างการแก้ปัญหาของชุมชน เพื่อชุมชน

 

received_828827970493823“ยกตัวอย่างกรณีชาวบ้านจะทำเองได้ เช่น การทำครัวกลางแล้วยกเลิกนโยบายแจกข้าวกล่อง แจกถุงยังชีพ เพื่อฝึกให้ชาวบ้านช่วยตนเองไม่รอคอยการช่วยเหลือจากภาครัฐ และสร้างความเข้มแข็งในพื้นที่ สอดคล้องกับการรับมือจริง ในกรณีฉุกเฉินและห่างไกลหน่วยงานรัฐบาล” นายไมตรี กล่าว

นางปรีดา คงแป้น ผู้อำนวยการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า สถานการณ์เมื่อภัยพิบัติที่ผ่านมาเหมือนเปิดพรมของปัญหาหลายด้าน เช่น ปัญหาที่ดินชาวเลในภาคใต้ ปัญหาคนไทยพลัดถิ่น กลายเป็นเหตุการณ์สึนามิเป็นคลื่นที่สร้างแรงสั่นสะเทืออนให้สังคมพบปัญหาอื่นและถูกนำมาแก้ไข และเกิดเป็นโครงสร้างภาคประชาชนที่มีการช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ และพัฒนาไปสู่ระบบการช่วยเหลือในภัยพิบัติ อื่น เช่น กรณีการสร้างศูนย์พักพิงชั่วคราวในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้ควรพัฒนาให้เกิดเป็นศูนย์พักพิงถาวรและมีการจัดการภายในพื้นที่ เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งต่อไป

นายพงษ์ศักดิ์ สายวรรณ ตัวแทนจากจังหวัดอุบลฯ กล่าวว่า ข้อเสนอเรื่องศูนย์พักพิงนั้น กรณีอุบลฯเมื่อครั้งน้ำท่วมปี 2554 แม้รัฐจะมีการสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็ตาม แต่ยังบกพร่องเรื่องการอำนวยความสะดวกเช่น การขาดการเตรียมไฟฟ้า ประปาไว้ให้ ชาวบ้าน ในศูนย์พักพิง แต่กลับเร่งรัดการอพยพช่วยเหลือไปก่อนโดยไม่มีการเตรียมแผนส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องระบบอุปโภค บริโภค ข้อเสนอคือ หากต้องการป้องกันภัยอย่างเข้มแข็งและถาวร ควรมีศูนย์พักพิงถาวรไว้รองรับในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะพื้นที่เกิดภัยพิบัติซ้ำซาก

ทั้งนี้ภายในเวทีได้มีการถอดบทเรียนใน 6 ประเด็นประกอบด้วย 1.การจัดการศูนย์พักพิง 2.อาสาสมัครภัยพิบัติ 3.การจัดระบบชุมชน 4.บทเรียนของแหล่งทุน 5.บทเรียนงานกู้ชีพ/กู้ภัย/การแพทย์ 6.จากสึนามิถึงภัยพิบัติอื่นๆ

อนึ่งในระหว่างวันที่ 24–26 ธันวาคม 2557จะจัดกิจกรรมใหญ่งานรำลึก 10 ปีสึนามิ“บทเรียนภัยพิบัติ….สู่การปฎิรูปนโยบาย” ขึ้นที่บ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา

//////////////////////////////////