Search

หนังสือร้องเรียน ผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง

เหมือง1

วันที่ 16 มกราคม 2558 หลังจากที่เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก) ได้เดินทางไปยังกรมอุตสากรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อร้องเรียนกรณีบริษัทผู้ประกอบการขัดคำสั่งของ กพร.ที่ได้สั่งการให้บริษัทยุติการดำเนินการ ในระหว่างรอผลตรวจเลือดในกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยอยู่รอบเหมืองทอง โดยอาศัยความตามพระราชบัญญัติแร่ พุทธศักราช 2510 มาตรา 131 และหมวด 11/1 ความรับผิด มาตรา 131/1 มีใจความในหนังสือระบุว่า

สืบเนื่องจากที่ชาวบ้านได้เข้าขอความเป็นธรรมมายังท่าน เหตุเพราะได้รับผลกระทบจนไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างปรกติในพื้นที่รอบเหมืองทองคำ และท่านได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ อก 0508/6141 ลงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2557 เพื่อเป็นการยืนยันความรับผิดชอบของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ที่จะกำกับดูแลสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบโดยเคร่งครัด และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยท่านได้มีคำสั่ง 3 ข้อ คือ

1. รับและส่งตัวประชาชนผู้ที่มีปริมาณโลหะหนักในกระแสเลือดและ/หรือในน้ำปัสสาวะสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน เข้ารับการตรวจรักษาตัวโดยทันที และตรวจสอบ แก้ไขปัญหาผลกระทบด้านสุขภาพของชาวบ้านที่เกิดขึ้น รวมทั้งค้นหาสาเหตุการปนเปื้อนของโลหะหนักในกระแสเลือดและ/หรือในน้ำปัสสาวะว่ามาจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัทฯ หรือไม่
2. ตรวจสอบ เยียวยา และจัดหาแหล่งน้ำที่มีคุณภาพดีสำหรับการอุปโภค บริโภคให้กับชาวบ้านบริเวณโดยรอบโดยด่วน
3. ขออนุญาตใช้เส้นทางสาธารณะให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน โดยจะต้องรับฟังข้อคิดเห็นและข้อห่วงกังวลของชุมชน ในการใช้เส้นทางสาธารณะดังกล่าวประกอบด้วย รวมทั้งทำการรื้อรั้วลวดหนามที่ปิดกันเส้นทางสาธารณะทุกเส้นออกให้หมด และหยุดดำเนินการใดๆ จนกว่าจะได้รับอนุญาตถูกต้องครบถ้วนแล้วเท่านั้น

 

ซึ่งพบว่าจนถึงขณะนี้ทางบริษัทอัคราฯ ยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งฉบับดังกล่าวของท่านแต่อย่างใด อันเป็นการละเลยเพิกเฉยต่อการรับผิดชอบช่วยเหลือชีวิตที่เจ็บป่วยจำนวนมากของประชาชน ประกอบกับผลการตรวจในเบื้องต้นของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และทีมจากมหาวิทยาลัยรังสิตนั้น ทำให้เกิดการวิตกกังวลของประชาชนเป็นจำนวนมาก

ซึ่งหลังจากตรวจไปแล้ว 700 คน ยังมีประชาชนในบริเวณโดยรอบที่ต้องรับการตรวจเพื่อความปลอดภัยอีกราว 6,000 คน ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านทั้ง 3 จังหวัดในเขตติดต่อ เป็นบริเวณที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำคือ จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ลงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2558 เพื่อให้ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางได้ลงไปตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ในเขตพื้นที่โดยรอบทั้งหมด เพื่อหาผลทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ยืนยันในการใช้เป็นหลักฐานในขั้นต่อไป

ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมาพบว่า ในเลือดของประชาชนและดิน น้ำ พืชผัก มีสารปนเปื้อนที่มีค่าเกินมาตรฐาน อันก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง ต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชน และประชาชนไม่อาจอยู่อาศัยได้ตามปรกติ อีกทั้งพื้นที่ยังเป็นแหล่งปลูกข้าว และพืชผัก ซึ่งประชาชนในพื้นที่ไม่กล้าบริโภคเอง จึงได้นำส่งออกขายไปยังพื้นที่อื่นๆ ซึ่งเป็นเส้นทางของสารเคมีปนเปื้อนในอาหารอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบหรือแก้ไข ระงับยับยั้งใดๆ ทั้งสิ้น และการตรวจพบสารโลหะหนักยังขยายวงกว้างไปไกลจากพื้นที่พิจิตร จนถึงอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ที่อยู่ห่างกันราวๆ 20 กิโลเมตร ซึ่งปรากฏในเลือดของประชาชนราว 30 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณชาวบ้านที่ถูกตรวจพบ

ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือเศรษฐกิจของประเทศ ในด้านอาหารในพื้นที่หากยังไม่ระงับยับยั้งเพื่อแก้ไข อีกทั้งประชาชนที่เจ็บป่วยกรณีตัวอย่างเช่นนายสมคิด ธรรมพเวช นายวุฒิพงศ์ ฟังเสนาะ นางล่ำ เภาบัว ทั้ง 3 รายที่เป็นคนงานในเหมืองทองคำ ที่ป่วยจากการทำงานภายในเหมือง ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการดูแลหรือช่วยเหลือแต่อย่างใด

ล่าสุดนายสมคิด ธรรมพเวช ได้ขอย้ายเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่เพียงคืนเดียวก็ถูกส่งกลับเพราะไม่มีเงินในการรักษา อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีหน่วยงานใด ที่จะมารับผิดชอบ ดูแลชีวิตของประชาชน ซึ่งขณะนี้มีกว่า 300 คน ที่พบว่าเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยจากสารพิษนี้

สภาพบ่อน้ำเน่าที่เกิดจากการขุดเอาแร่ ในบริเวณบ้านหนองละมาน อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ชาวบ้านเรียกว่าบ่อน้ำเขียว
สภาพบ่อน้ำเน่าที่เกิดจากการขุดเอาแร่ ในบริเวณบ้านหนองละมาน อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ชาวบ้านเรียกว่าบ่อน้ำเขียว

ในการนี้ขออาศัยความตามมาตรา 131
“ เมื่อมีเหตุอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือเศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตนำแร่เข้าในราชอาณาจักร หรือใบอนุญาตส่งแร่ออกนอกราชอาณาจักรเมื่อใดก็ได้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ”
เนื่องจากสารเคมีดังกล่าวที่อยู่ในอาหาร น้ำ พืชผัก ที่อาจกระจายไปทั้งประเทศ โดยไร้การควบคุมนี้ อาจก่อให้เกิดอันตรายและกระทบถึงความปลอดภัยหรือเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และมาตรา 131/1 ระบุว่า
“ ผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน ต่อความเสียหาย หรือความเดือดร้อนรำคาญใดอันเกิดขึ้นแก่บุคคล ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม

ในกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้นในเขตที่ได้รับอนุญาต ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าความเสียหายนั้นเกิดจากการกระทำของผู้ถืออาชญาบัตร หรือใบอนุญาตนั้น”
ซึ่งในพระราชบัญญัติแร่มาตรานี้ กฎหมายเขียนไว้เจตนาเพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลในเบื้องต้น จึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเกิดจากการกระทำของผู้ถือ อาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตนั้น

แต่การปฏิเสธว่าไม่ได้เกิดจากการทำเหมืองมาโดยตลอด ทำให้ชาวบ้านถูกปฏิเสธการช่วยเหลือ ไม่ทันเวลา จนล่วงเลยมากว่า 10 ปี ถึงขณะนี้
จึงขออาศัยความตามมาตรานี้ เรียนมายังท่านเพื่อขอให้มีคำสั่งให้นำเงินกองทุนประกันความเสี่ยงที่ทางบริษัท อัคราฯ ได้วางไว้ที่อุตสาหกรรมปีละสิบล้านบาท จำนวนคาดว่าราว หนึ่งร้อยล้านบาท เพื่ออนุมัตินำไปช่วยเหลือเยียวยาเป็นการเร่งด่วนที่สุด

พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อใช้สิทธิของประชาชนในการให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งขาติเป็นผู้ดำเนินการส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อตีความตามมาตรา 131/1 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พุทธศักราช 2510 ว่าการที่บริษัท ปฏิเสธไม่ดูแลบรรเทาความช่วยเหลือประชาชนตลอดระยะเวลาที่เนินนานกว่า 10 ปี เป็นการขัดต่อมาตรานี้ด้วยหรือไม่ และเป็นการที่ละเมิดต่อพระราชบัญญัติแร่ พุทธศักราช 2510 นี้ด้วยหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนอย่างแท้จริง

จึงเรียนมายังท่านเพื่อโปรดดำเนินการช่วยเหลือ เพื่อให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนจำนวนมากโดยเร็วที่สุดด้วย

ขอแสดงความนับถือ