ในวันแถลงข่าวจากทีมวิจัยนักวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิตและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ผลตรวจเลือดของประชาชน ที่อาศัยอยู่รอบเหมืองทองคำใน 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก) จำนวนกว่า 700 คน แล้วพบปริมาณสารแมงกานีสและสารหนูในเลือดสูงกว่าปกติถึง 70 % อีกทั้งแถลงผลสุ่มตรวจความผิดปกติของ DNA ในกลุ่มตัวอย่าง 500 คน แล้วผลปรากฏว่ามี พบความผิดปกติของ DNA ถึง 200 คนนั้น เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองคำที่รอดูข่าวอยู่ในพื้นที่บางรายถึงกับน้ำตาตกเพราะกังวลกับหายนะของสุขภาพในอนาคต
ขณะที่บางคนรู้สึกดีที่ผลการตรวจสุขภาพได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยได้รับการตรวจเลือดยิ่งรู้สึกหวั่นไหวและพยายามจะหาวิธีให้ได้ตรวจเลือดอย่างเป็นทางการ หลังพบว่าเพื่อนบ้านหลายคนตกอยู่ในชะตากรรมอันยากลำบากเพราะพบโลหะหนักอย่างแมงกานีสและสารหนูในร่างกายกันยกครัวเรือน
สำหรับสิริวรรณ ธีระชาติดำรง วัย 43 ปี ชาวบ้านเขาหม้อ ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร เธอชินชากับสถานการณ์ความเจ็บปวดดังกล่าวได้ดี หลังผ่านการต่อสู้กับเหมืองทองคำมาเกือบ 1 ทศวรรษ
“ความทุกข์ของชาวบ้านธรรมดา คงไม่มีใครอยากมาแก้หรอก ทุกข์ที่ผ่านมาจะแลกด้วยชีวิต แลกด้วยสิ่งแวดล้อม หรือแลกด้วยความเจ็บป่วย ราคาของเราก็มีไม่เท่าทองคำ แต่เราไม่กล้าหยุดต่อสู้ เพราะกลัวคนรุ่นหลังจะไม่มีพื้นที่สีเขียวให้หายใจ กลัวเขาไม่มีที่ดินสร้างบ้าน และกลายเป็นทาสของทุนต่างชาติ” สิริวรรณ ชินชากับความผิดหวังจากการทำงานของภาคราชการ และประสบกับความทุกข์ของเพื่อนบ้านจนชีวิตเปี่ยมทุกข์
สิริวรรณ เป็นอดีตพนักงานเหมืองทองคำของบริษัทอัคราไมนิ่ง ฯ ที่ประกอบกิจการในพื้นที่ แต่ปัจจุบันเธอกับสามีได้หันมาประกอบอาชีพส่วนตัว โดยเหตุผลที่ลาออกจากงานเพราะเธอรู้ตัวว่า บริษัทไม่ไว้ใจให้เธอทำงานเนื่องจากกังวลว่าจะล้วงข้อมูลการสัมปทาน จึงตัดสินใจลาออก แล้วหันมาทำงานด้านการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านเหมืองทองคำ ฯ ร่วมกับพี่สาว คือ สื่อกัญญา ธีระชาติดำรง
เธอกล่าวกับทีมนักข่าวว่า หลังจากแต่งงานแล้วและวันนี้ได้ทราบผลความผิดปกติของ DNA ในเลือดของเพื่อนบ้าน เธอตั้งใจชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีลูกเพราะเกรงว่าพิษจากสารโลหะหนักจากเหมืองจะมีอันตรายต่อลูก
“เราก็กลัวนะ ทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่ แต่จำใจต้องกิน ต้องอยู่ ทิ้งบ้านไปไหนไม่ได้แล้ว เราจะไม่ทิ้งบ้านไปไหน แม้ว่าบริษัทจะซื้อที่ดินประชิดรั้วบ้านเข้ามาทุกทีก็ตาม ส่วนตัวไม่คิดจะมีลูกในช่วงนี้ เพราะเหมืองยังดำเนินกิจการอยู่ เราฟังระเบิดหินทุกวัน ฟังเครื่องจักรทำงานทุกวัน เราใจเด็ดไม่พอนะจะให้มีลูกตอนนี้” สิริวรรณอธิบายชีวิตต้องสู้ของเธอ ที่จำต้องหักห้ามใจไม่ให้ชีวิตใหม่เกิดมาทุกข์ระทม
เธอบอกว่าตั้งแต่ลาออกมาจากบริษัทฯ รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะได้ทำหน้าที่พลเมืองพิจิตร ในฐานะลูกหลานคนเขาหม้อได้เต็มที่ แม้ว่าตอนนี้จะได้รับสารพิษเข้าไปในร่างกายเต็มๆ แต่เธอไม่เคยคิดจะทิ้งบ้านเรือนไปไหนและตัดสินใจกับครอบครัวว่าไม่ขายที่ดินให้เหมือง แม้ว่าทั้งชุมชนบ้านเขาหม้อ ตำบลเขาเจ็ดลูก 80 % กลายเป็นที่ในกรรมสิทธิ์ของเหมืองทองคำแล้วก็ตาม ทุกครั้งที่คิดถึงอดีตของเขาหม้อที่เคยเขียวขจี เธอยอมรับว่ารู้สึกเสียดาย เพราะที่ผ่านมาไม่รู้ถึงอันตรายของทุนใหญ่
“เราไม่เคยคิดว่าวัดเขาหม้อที่เคยเป็นวัดดังของประชาชน 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง จะกลายมาเป็นวัดร้าง เราไม่เคยคิดว่า โรงเรียนที่เคยเรียนนั้นกลายเป็นโรงเรียนร้างที่ถูกเหมืองปักหมุดยึดทุกพื้นที่ ใบใม้ ต้นไม้ที่เคยเขียวขจี แหล่งน้ำที่เคยไหลอย่างสมดุล กลายเป็นสีสนิม นกต่างๆแถวเขาหม้อที่ขันด้วยความสดใส เงียบลง ทั้งชุมชนกลายเป็นพื้นที่แห้งแล้งจนน่าใจหาย มันเป็นความจริงที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น ” เธอสะท้อนวิถีชีวิตของชุมชนที่แตกสลายได้อย่างคมชัด
“ก่อนเหมืองทองเข้าครอบครองบ้านเขาหม้อ ชาวบ้านได้เจอนักปฏิบัติธรรมบนเขา สวมชุดขาวนั่งสมาธิและได้รับความศรัทธาจากชาวบ้านอย่างมาก วันหนึ่งนักปฏิบัติธรรมออกมาพบชาวบ้านแล้วบอกว่า ภูเขาหม้อมีแสงสีทองปรากฏในช่วงกลางคืนเสมอ เป็นพื้นที่ที่น่าอัศจรรย์ จึงอยากให้ชาวบ้านรักษาไว้ให้ดี ขณะนั้นไม่มีใครรู้ว่าพื้นที่มีทองคำ ชาวบ้านจึงไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งนักปฏิบัติธรรมจากไป ทุกคนก็ยังใช้ชีวิตปกติ หาของป่าและประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างเรียบง่าย”
ต่อมาไม่นานเมื่อโตขึ้นในช่วงเรียนมัธยม พ่อของเธอได้ต้อนรับนักธรณีวิทยาเข้ามาสำรวจพื้นที่ในหมู่บ้านและบอกว่าต่อไปนี้คนเขาหม้อจะมีงานทำอย่างมั่นคงเพราะจะมีบริษัทที่ดี มีความมั่นคงเข้ามาก่อตั้ง พ่อกับเพื่อนบ้านจึงเลี้ยงต้อนรับนักธรณีวิทยาอย่างดี และไม่มีใครสงสัยในตัวนักธรณีวิทยารายนั้น หมู่บ้านเขาหม้อช่วงนั้นกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยนักวิชาการและนักธุรกิจเข้าออกมาดูพื้นที่ประจำ ต่อมากลายเป็นพื้นที่ของนายหน้าค้าที่ดิน มีคนเข้ามาติดต่อขอซื้อที่แล้วกลายเป็นเหมืองทองคำในที่สุด โดยชาวบ้านไม่เคยรู้ว่า จะเป็นแหล่งขุดทอง 3 จังหวัดในเวลาต่อมา กระทั่งผ่านไป 13 ปี ชาวบ้านก็ยังไม่เคยรู้ชัดเจนว่าใครคือ คนอนุญาตให้บริษัทเข้ามาขุดทอง แล้วตั้งหน้าเหมืองระเบิดหินทำร้ายชาวบ้านจวบจนปัจจุบัน

อีกฟากหนึ่งของเหมืองทองคำที่บ้านดงหลง ตำบลท้ายดง อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ลุงสว่าง สารีสุข ในวัย 72 ปี หอบเอกสารการตรวจแมงกานีสของตนมาร้องเรียนทีมข่าว ผลการตรวจร่างกายของลุงสว่าง มีแมงกานีสในเลือดสูง การทำงานของตับและไตผิดปกติ มีอาการแขนขา ชาและหายใจลำบาก
“ตอนแรกหมอมาตรวจ ลุงทำใจอยู่นาน ถ้าป่วยมาจะหาเงินที่ไหนรักษา แต่วันนี้ หากจะป่วยตายก็ยอมแล้ว เพราะเราไม่มีทางเลือก หมอนัดทุกเดือนไปดูอาการปวดเมื่อยและหายใจลำบาก แต่ไม่ยืนยันว่าจะรักษาหายมั้ย ลุงก็ทำใจแล้วตอนนี้ ขอสละร่างกายให้คุณหมอ แม้หากจะตายเพราะพิษในร่างกายลุงก็ยอม ไม่เอาอะไรไว้แล้ว แต่ขอให้หมอหาวิธีรักษา รักษาเราไม่ได้ก็ขอให้รักษาเด็กๆ ได้” ลุงสว่างกล่าวถึงความรู้สึกเมื่อพบว่าตัวเองมีสารโลหะหนักและมีสภาวะร่างกายผิดปกติ แม้ในชีวิตแทบไม่เคยเจ็บป่วยเลย

มรสุมที่โหมกระหน่ำลุงสว่างไม่ใช่แค่การพบสารพิษในร่างกายเท่านั้น ก่อนหน้านี้แกต้องสูญเสียที่ดินบริเวณเขาโป่งให้นายหน้าเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนถึง 30 ไร่ เพื่อให้เหมืองประกอบกิจการ โดยขายไร่ละ 25,000 บาทเท่านั้น แต่เมื่อรู้ว่าที่ดินถูกซื้อไปทำเหมือง ลุงยอมรับว่ากลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะเสียดายที่ครั้งหนึ่งเคยเสียท่าทีให้ธุรกิจใหญ่ แล้ววันนี้เหลือเพียงแค่ร่างกายที่ป่วยด้วยสารพิษ
“มีที่ดินเท่าไหร่ขายหมด เหลือเพียง 6 งานเก็บไว้ให้ลูก 6 คน คนละ 1งาน เพื่อสร้างบ้าน แต่ตอนนี้ลูกเริ่มลังเล เพราะไม่มีใครอยากมาอยู่บ้าน เขากลัวสารพิษกัน พูดถึงก็เสียดายมาก ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเขาเอาไปทำเหมือง เมื่อก่อนลุงทำไร่ข้าวโพดและปลูกถั่วขาย ส่งลูกเรียน แต่ตอนนี้รับจ้างทำไร่ทั่วไป และรอลูกๆ กลับมาเยี่ยมในบางครั้งเท่านั้น แต่กิจวัตรที่ต้องทำเพิ่มคือต้องไปหาหมอทุกเดือน หากย้อนเวลาไปได้ ลุงจะไม่ขาย” ลุงเล่าทั้งน้ำตา
ในวันที่ผลการตรวจความผิดปกติของ DNA จะถูกเผยแพร่และชาวบ้านบางส่วนได้รับผลตรวจโลหะหนักแล้วพบค่าโลหะหนักปนเปื้อนในร่างกายสูงกว่าปกติแล้วนั้น กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้แสดงความรับผิดชอบในฐานะหน่วยงานของรัฐที่ดูแลกิจการเหมืองแร่ โดยการส่งหนังสือให้บริษัทฯ หยุดการดำเนินการเป็นเวลา 30 วัน แต่ปรากฏว่าชาวบ้านยังได้ยินเสียงเครื่องจักรทำงานทั้งเช้าและค่ำ ชาวบ้านรู้สึกกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนได้แค่ทำใจ เพราะไม่เคยเชื่อในศักยภาพของกพร. เนื่องจากที่ผ่านมาชาวบ้านร้องเรียนความทุกข์ร้อนไปหลายครั้งแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ
วุฒิพงษ์ ฟังเสนาะ ชาวบ้านนิคม ตำบลทับคล้อ จังหวัดพิจิตร อดีตเจ้าหน้าที่โฟร์แมนฝ่ายระเบิดหินในเหมืองทองคำ กล่าวว่า ขณะนี้ตน ภรรยาและลูกชายอีก 2 คน พบแมงกานีสในเลือดสูงกว่าปกติทั้ง 4 คน โดยลูกมีอาการผื่นคันทั้งสองคนและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่วนลูกชายคนโตในวัย 17 ปี ระยะหลังไม่สามารถเล่นกีฬาได้ดีเหมือนอดีตทั้งที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ที่เคยแข่งขันได้เหรียญทองมาหลายสมัย ส่วนตนป่วยด้วยพิษสารหนูและแมงกานีส พบรอยจ้ำตามร่างกาย และมีอาการหายใจลำบากมานานหลายปี ตั้งแต่ลาออกจากเหมืองเมื่อปี 2549
“ตอนแรกที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวนั้น พยายามลางานพักงาน แต่หัวหน้ากลับมองว่าเราอู้งาน จึงเสนอให้ลาออก ทีแรกยังไม่ยอมเพราะไม่มีรายได้อื่น จึงยอมทนทำ ช่วงแรกๆ บริษัทก็รับผิดชอบจนอาการดีขึ้นกลับไปทำงานใหม่ หัวหน้างานไม่เห็นด้วยจึงเสนอให้พักงาน ต่อมาก็พบว่าทำต่อไม่ไหว เวียนหัวและผอม ก็ตัดสินใจลาออกแล้วกู้เงินมาตรวจรักษาร่างกาย แต่ก็ไม่ดีขึ้น จึงเชื่อมั่นว่าเหมืองทำพิษ” วุฒิพงษ์ เล่า
เมื่อมีประสบการณ์อันเจ็บปวด วุฒิพงษ์ จึงเลือกจะเดินหน้าคัดค้านการทำเหมืองทองและเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้ประกอบการรับผิดชอบต่อชีวิตของชาวบ้านที่ป่วย โดยเป้าหมายหลัก คือ อยากให้ กรพ.เร่งรัดการอนุมัติกองทุนความเสี่ยงจากกิจการเหมืองแร่เพื่อมาดูแลชาวบ้านและสั่งระงับการสัมปทานเหมืองแร่ถาวร ก่อนที่ 3 จังหวัดภาคเหนือจะกลายเป็นพื้นที่อันตราย ซึ่งจากการยื่นร้องเรียนกพร.นั้น คำตอบจะเป็นอย่างไรยังไม่ทราบ แต่ที่อธิบดีกรม กพร.ยืนยัน คือ การนำเรื่องร้องเรียนเข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งคงต้องติดตามต่อไปว่า การต่อสู้ของชาวบ้านจะสูญเปล่าหรือมีความคืบหน้า
ouiboonmark@yahoo.com
————