เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2558 นายคมฉาน ตะวันฉาย ตัวแทนจากเครือข่ายโอเค เนเจอร์ (OK Nature)เปิดเผยว่า จากกรณีที่โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นับเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่ทำให้เครือข่ายอนุรักษ์ต้องเร่งเครื่องการต่อสู้ คัดค้าน เพราะที่ผ่านมาโครงการฯ มักถูกผลักดันโดยใช้ข้อมูลเชิงเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเข้ามาประชาสัมพันธ์ เพราะหวังจะกอบโดยรายได้จากการท่องเที่ยว โดยใช้จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นตัวชี้วัด ทั้งที่ที่ผ่านมาตั้งแต่แรกเริ่มของโครงการสร้างกระเช้านั้น ประชาชนในจังหวัดเลยมีโอกาสรับรู้ข้อเท็จจริงน้อยมาก แต่การเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนมีพลังเพราะองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)มีการประสานงานกับชาวบ้านแบบเฉพาะตัว และสื่อสารกับภาคการเมืองหลักเพื่อดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นการทำงานที่ผิดกระบวนการประชาธิปไตย
นายคมฉานกล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่คิดว่าการสร้างกระเช้าจะพัฒนาเศรษฐกิจได้ ที่สำคัญมีแนวโน้มล้มเหลวเหมือนกับโครงการลงทุนทั่วไป เช่น กรณีเหมืองทองคำ จังหวัดเลย ก่อนสร้างเหมือง ท้องถิ่นพยายามให้ข้อมูลเรื่องเศรษฐกิจ การสร้างงาน สร้างรายได้หลักและเพิ่มคุณค่าของการพัฒนาชุมชนเข้าไป แต่แล้วก็กลายเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น ทำได้ไม่จริง สุดท้ายความเละของโครงการก็ตกอยู่กับชาวบ้านที่มีคุณภาพชีวิตแย่ลง และกิจการเหมืองก็เป็นกิจการชั่วคราว ไม่สร้างความยั่งยืน กระเช้าก็เช่นกัน รายได้หลักอยู่กับบริษัทก่อสร้าง บริษัทสัมปทาน รัฐบาล แต่ประชาชนก็เสี่ยงไปไม่รอด
“ความล้มเหลวของโครงการใหญ่มันมีให้เห็นทุกวันเลยนะ ประเทศไทยของเรานั้นมันพังมาหลายโครงการแล้ว อย่าให้ความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งมาสร้างความเสียหายอีกเลย เราต้องเข้าใจว่า สภาพการตอนนี้ การท่องเที่ยวภูกระดึงเปิดเป็นช่วง แค่ 6 เดือนเท่านั้น แล้วคนที่มาหารายได้ ก็เห็นคนในพื้นที่ที่หารายได้สำรอง ต่อจากอาชีพเกษตรกรรม เช่น กรณีลูกหาบ เป็นการหารายได้สำรองที่ขาดไม่ได้ ซึ่งมีเสน่ห์อยู่แล้ว เพราะรายได้เข้าท้องถิ่น และคนเข้าไปใช้จ่ายเงินจากการท่องเที่ยวเพราะคนต้องเสียเวลาเดินขึ้น แต่หากมีกระเช้าใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงกว่าขึ้นกระเช้าไปเยือน คาดการณ์ไปเองว่ากระเช้าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวขึ้นหลายพันคน คำถามง่ายๆ ที่คนสนับสนุนตอบไม่ได้ คือ แล้วนักท่องเที่ยววันละหลายพันที่ว่าจะมาจากไหน หากมีกระเช้าคนจะแค่แวะเที่ยว คงไม่มีใครอยากค้าง เพราะพื้นที่ถ่ายรูป พักผ่อนมีไม่กี่ที่ แล้วคนเสพภูกระดึงครึ่งหนึ่งในชีวิตเพราะเป็นการเดินขึ้นที่เหนื่อยและใช้เวลานาน ไปถึงผาแล้วจะรู้สึกชื่นใจ ภูมิใจ แต่มีกระเช้านักท่องเที่ยวจะแค่แวะ เข้าไปถ่ายรูป คนท้องถิ่นก็เสี่ยงขาดรายได้ ทั้งลูกหาย ทั้งค้าขาย ผมกล้าพูดได้เลยว่า มีแระเช้าภูกระดึงจะเป็นแค่จุดพักชมวิว คนคงกินข้าวแค่ไม่กี่มื้อแล้วก็จากไป” นายคมฉาน กล่าว
นายคมฉาน กล่าวด้วยว่า และเพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้กระจ่างต่อสาธารณะอีกครั้ง มูลนิธิสืบ นาคะเสถียรและเครือข่ายต่างๆ จึงได้มีกิจกรรมนำสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปสำรวจภูกระดึงระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจากคนในพื้นที่และสำรวจธรรมชาติโดยรอบ เพื่อนำเสนอมุมต่างๆ ของภูกระดึงที่มีเสน่ห์ให้เยือนแบบธรรมชาติจริงๆ นอกจากนี้เรื่องที่ต้องคัดค้านกระเช้า คือ มีนักวิชาการยืนยันแล้วว่า กรณีการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ นั้นไม่มีความชัดเจน เป็นการทำแบบไม่รอบด้าน ซึ่งแม้ว่าขณะนี้คาดว่าโครงการสร้างกระเช้าอยู่ระหว่างรอ อปท.ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา แต่ไม่มีอะไรแน่นอนในรัฐบาลนี้ เพราะฉะนั้นส่วนตัวมองว่า ต้องเร่งให้ข้อมูลกับสาธารณะให้มากและนำเสนอแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิง นิเวศน์ให้ประชาชนในท้องถิ่นนำไปใช้ เพื่อการรักษาภูกระดึงให้ยาวนาน ทั้งนี้อยากให้มีการนำเสนอข้อมูลจากฝ่ายวิชาการถึงความสำคัญของป่า แบบภูกระดึงให้เห็นอีกมุมทางนิเวศน์วิทยา และอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยว และส่งเสริมการอนุรักษ์มากขึ้นด้วย อย่างน้อยก็ช่วยให้ภูกระดึงมีความงดงามในมุมเล็กๆ แต่ยั่งยืน
/////////////////////////