ผมเพิ่งมีโอกาสครั้งแรกมาเยือนประเทศเวียดนาม ลงพื้นที่เก็บข้อมูลการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบริเวณปากแม่น้ำโขง และติดตามผลกระทบจากการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงตอนบน เมื่อสัปดาห์ก่อน ย่ำเมืองสำคัญในเวียดนามใต้ ได้แก่ เกิ่นเทอ และโฮจิมินห์ (ไซ่ง่อน) ต้องยอมรับว่า เวียดนามพัฒนาความเจริญได้ทัดเทียมไทย และหลายด้านกำลังแซงหน้า
บ้านเรามีอะไร ที่นั่นมีไม่ต่างกัน จะต่างอยู่บ้าง คือโครงสร้างพื้นฐาน เขายังตามหลังไทยอยู่ 2-3 ช่วงตัว
ห้วงนี้ รัฐบาลเวียดนามเร่งปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการใน 2 เมืองดังกล่าว ทั้งสร้างถนนบายพาส ทางยกระดับ มอเตอร์เวย์ ขยายถนนสายหลักสายรองในตัวเมือง และเชื่อมต่อเมืองเป็น 4 เลน วางระบบท่อประปา ท่อระบายน้ำ ฯลฯ สภาพบ้านเรือนตลอดสองข้างทางจึงเต็มไปด้วยฝุ่นแดง รถราสัญจรไปมาลำบาก
แต่คงอีกไม่นาน นับจากนี้ไปราว 2-3 ปี เมื่อโครงสร้างพื้นฐานสมบูรณ์ขึ้น อุปสรรคสำคัญถ่วงรั้งการลงทุนจากภายนอกน่าจะหมดไป
ทุกวันนี้ เวียดนามมีจุดแข็งเรื่อง “ทรัพยากรมนุษย์” และจุดแข็งเรื่อง “แหล่งผลิตอาหารอุดมสมบูรณ์” บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
แค่ผมได้เห็นได้สัมผัสชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาลที่เคลื่อนไหวไปตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ค้าขาย ประมง และเกษตรกรรม มันช่างหน้าตื่นตาตื่นใจจริงๆโดยเฉพาะการค้าขาย ตลอดสองข้างทาง ทุกคนสามารถค้าขายอะไรก็ได้ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ค้าขายได้ทุกวิธี เดินขาย แบกขาย ปั้นขาย ถีบขาย ตั้งวางขายได้ทุกหนแห่ง หน้าบ้าน ข้างสวน บนฟุตบาธ ริมถนนหลวง ฯลฯ
เรียกว่า มีคนทำมาค้าขายในทุกระยะ 20 เมตรตลอดสองข้างทาง ผลิตอะไรได้ ปลูกอะไรได้ ทำขนม-อาหารอะไรได้เล็กๆน้อยก็นำออกมาขาย ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังพอเก็บเล็กผสมน้อย ดีกว่าอยู่เปล่าๆไร้รายได้เสริม
คนเวียดนามขยันขันแข็งเอาการเอางานไม่เป็นรองคนชาติใดในอาเซียน
จุดแข็งในแง่ทรัพยากรมนุษย์อีกด้านที่ได้สัมผัสคือ รูปแบบการทำงานเชื่อมโยงปัญญาชนจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทำงานอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งผู้นำองค์กรบริหารท้องถิ่นในระดับล่าง องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) และนักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยในระดับกลาง และเจ้าหน้าที่รัฐในระดับบน
เอ็นจีโอเวียดนามอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ เฉพาะองค์กรด้านแม่น้ำ มีถึง 150 องค์กร มีคณะกรรมการใหญ่ 3 องค์กร ดูแลภาคเหนือ กลาง และใต้ มีเครือข่ายเอ็นจีโอท้องถิ่น 11 องค์กรคอยสนับสนุน
ทำงานคลุกคลีกับชาวบ้าน คล้ายผู้เชื่อมต่อบนกับล่าง รับฟังเสียงสะท้อน สนับสนุนงานวิจัยไทบ้าน ผลักดันงานของรัฐให้บรรลุเป้าหมาย ต่างจากเอ็นจีโอเมืองไทยที่มักยืนอยู่ตรงข้าม
ส่วนนักวิชาการมหาวิทยาลัยจะเป็นที่ปรึกษาโครงการพัฒนาด้านต่างๆ นำองค์ความรู้จากการค้นคว้าวิจัยไปช่วยเสริมสร้างการพัฒนาในชุมชน เพิ่มศักยภาพชาวบ้านให้รู้จักใช้ประโยชน์พื้นที่ให้มากที่สุด บริหารจัดการอย่างมีระบบ ส่งเสริมศักยภาพชุมชนให้ปรับตัวและรับมือกับปัญหาจากการพัฒนาในอนาคต ฯลฯ
จุดแข็งบนดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง จะว่าในคราวต่อไป
——————–
ภาคภูมิ ป้องภัย
มติชน 7 เม.ย. 58