เมื่อวันที่ 26 เมษายน นายศักดิ์ชัย จุลทั้งสี่ ชาวบ้านชุมชนราไวย์ เปิดเผยว่า เมื่อเช้าวันนี้ ชาวบ้านชุมชนราไวย์ ม.2 อ.เมือง จ.ภูเก็ต ต้องพบกับซากปรักหักพังของบ้านของชาวเลในชุมชนจำนวน 3 หลัง ที่กำลังถูกรถแบ็กโฮทำการเข้ารื้อถอนบ้าน ซึ่งจากการสอบถามเพื่อนบ้านบริเวณข้างใกล้เคียง พบว่าบ้านดังกล่าวเป็นของสมาชิกรายหนึ่งที่เสียชีวิตไปเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเจ้าของบ้านเป็นชาวเลดั้งเดิม โดยขณะเกิดการเข้ารื้อถอน ลูกหลานที่อาศัยอยู่ออกไปทำงานรับจ้างในเมือง ปรากฏว่ามีเครื่องจักรพร้อมคนงานเข้ารื้อบ้านโดยใช้เวลาไม่นาน จนบ้านทั้ง 3 หลังเหลือเพียงเศษซาก และมีการเกลี่ยที่ดินบริเวณนั้น รวมไปถึงศาลบรรพบุรุษที่ชาวบ้านเคารพนับถือ ทั้งที่เพิ่งผ่านวันกราบไหว้บรรพบุรุษชาวเลได้ไม่นาน ซึ่งชาวบ้านต่างช่วยกันอธิฐานให้ช่วยคุ้มครองชุมชนจากการคุกคามของนายทุนและคนนอก โดยขณะนี้เจ้าของบ้านทั้ง 3 หลังยังไม่ทราบว่าบ้านของตนเองได้ถูกรื้อไปแล้ว
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งกล่าวว่า ประมาณ 2-3 วันก่อนเกิดเหตุ ได้มีกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามาชี้แจงกับชาวบ้านว่า บางครอบครัวได้รับเงินชดเชยจำนวย 50,000 บาทแล้ว แต่จากข้ออ้างดังกล่าว ชาวบ้านส่วนใหญ่ยืนยันว่า ไม่ได้รับรู้ในข้อตกลงและจำนวนเงินดังกล่าว รวมทั้งยืนยันว่าหากแม้มีการตกลงยินยอมจริง ก็จะไม่มีชาวเลคนไหนยอมให้รื้อศาลบรรพบุรุษอย่างแน่นอน เพราะชาวเลมีความเชื่อที่ผูกพันกับบรรพบุรุษ อีกทั้งขณะนี้ข้อเท็จจริงเรื่องข้อพิพาทที่ดินยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งล่าสุดได้มีการยืนยันผลการตรวจดีเอ็นเอกระดูกที่บ่งชี้ชัดว่าชุมชนราไวย์เป็นชุมชนเก่าแก่ดั่งเดิม
ด้ายนายสนิท แซ่ซั่ว ชาวเลราไวย์ และผู้ประสานงานเครือข่ายชาวเล กล่าวว่า จุดที่มีการเข้ามารื้อบ้านทั้ง 3 หลังของชาวบ้านนั้น อยู่ในเขตพื้นที่ของชุมชนชาวเลบริเวณหาดราไวย์ ซึ่งนอกจากเป็นพื้นที่ตั้งศาลเจ้าบรรพบุรุษแล้ว ยังเป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมลอยเรือปาจั๊กในวันพบปะเครือญาติ ที่จะมีชาวเลจากชุมชนต่างๆ เดินทางมาทำพิธีเป็นประจำทุกปี การเข้ารื้อบ้านครั้งนี้จึงถือเป็นการกระทำที่กระทบต่อความรู้สึกของชาวเลอย่างมาก อีกทั้งข้อพิพาทที่ดินของชุมชนยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการตรวจสอบของดีเอสไอ