เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2558 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม จัดเสวนาหัวข้อ “ขึงพืดการพัฒนาภาคใต้ ประเคนทรัพยากรละเลงลงทุน” โดยเชิญฝ่ายวิชาการ และภาคประชาชนจากพื้นที่เข้าร่วม โดยดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าหลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ขณะนี้วิกฤติอุตสาหกรรมภาคใต้กำลังเดินหน้าอย่างน่ากลัวภายใต้กรอบเป้าหมายเพื่อการสร้างแหล่งพลังงานโลก โดยเริ่มแรกเป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา และประเทศญี่ปุ่น ต่อมาธนาคารใหญ่อย่าง ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี)ก็เข้ามาร่วมมือกับสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อจัดทำแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้ เน้นที่ระบบอุตสาหกรรมปิโตเลียม เคมี และท่อก๊าซ โดยมีโครงการที่เร่งผลักดันในปัจจุบัน คือ กรณีท่าเรือ และโรงไฟฟ้าได้แก่ โรงไฟฟ้าเทพา โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เป็นต้น
ดร.อาภากล่าวว่า รัฐบาลยุคนี้ถืออำนาจการตัดสินใจมีความเด็ดขาดกว่ารัฐบาลทั่วไป โดยแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้เป็นแผนพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม นับตั้งแต่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ ท่าเรือน้ำลึก เช่นเดียวกับ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จะเดินตามแผนแล้วพ่วงด้วยโครงการสะพานเศรษฐกิจ เพื่อสร้างฐานขุดเจาะน้ำมันของบริษัทปิโตรเลียม ขนาดใหญ่ ส่วนทางฝั่งอ่าวไทย จะมีการวางทุ่นขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลและก่อสร้างคลังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนทั้งภาค โดยใช้ภาคธุรกิจกดดัน และอาจเป็นไปได้ว่ายุคนี้เป็นยุคคืนชีพของอุตสาหกรรมหนัก ทั้งเหล็ก แร่ ปิโตรเลียม ที่เคยทำให้ภาคใต้ตอนบนประสบกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม
ด้านนายสันติ โชคชัยชำนาญกิจ นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน กล่าวว่า หลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ผ่านความเห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2558-2579 หรือแผน พีดีพี 2015 เรียบร้อยแล้ว ทางทีมวิชาการได้วิเคราะห์แผนดังกล่าวพบว่า ข้อมูลของแผนเปิดเผยต่อสาธารณะเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยภาพรวมของแผนพีดีพีนั้นมีความล้าหลังและยังสร้างภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวนับหลายแสนล้านบาทที่ประชาชนต้องแบกรับโดยไม่จำเป็น เนื่องจากการลงทุนโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นการเซ็นสัญญาล่วงหน้านับ 10 ปี
“ผมกล้าพูดได้ว่าแผนพีดีพี ปี 2015 นี้ เป็นแผนที่อัปลักษณ์ที่สุด เพราะในแผนฉบับนี้เต็มไปด้วยคำถามที่ กฟผ. คงไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมาตอบกับประชาชนได้ เช่น กรณี ตัวเลขกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในแผนฯ สูงกว่าเกณฑ์กำหนดไปมากกว่า 2 เท่าตัวในระยะ 10 ปีแรกของแผน (พ.ศ.2558-2568) ทั้งนี้ ยังไม่ได้นับรวมกำลังผลิตที่ “ไม่พร้อมใช้งาน” อีก 7,000-9,800 เมกะวัตต์ในระยะดังกล่าว ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังผลิตไฟฟ้าที่ป้อนให้กับภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสานรวมกัน โดย กฟผ.อธิบายว่า เป็นผลของการประหยัดพลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานที่เพิ่มจาก 20% เป็น 100% เมื่อเทียบกับแผนเดิม ซึ่งส่วนตัวกล้าการันตีว่า แผนใหม่นี้ใช้ได้จริงไม่เกิน 3 ปี จะต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ซึ่งหากโรงไฟฟ้าเกิดขึ้นในระหว่างแผนฉบับนี้ ก็จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานในที่สุด หรือใช้งานแต่ในปริมาณที่ไม่มาก” นายสันติ กล่าว
นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน กล่าวต่อว่า โรงไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากแผนเดิมในระหว่างปี 2558-2568 มีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 เมกกะวัตต์ เทียบเท่ากับ 2 เท่าของกำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่ป้อนภาคใต้ทั้งภาค หากโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่มีภาระผูกพันจริง นั่นหมายความว่าโครงการเหล่านี้มีการสร้าง “ภาระผูกพัน” ก่อนที่จะมีการจัดทำแผนพีดีพี 2015 อย่างไรก็ตามกรณีถ่านหินกระบี่ และเทพา จังหวัดสงขลานั้น มีกำลังผลิตร่วม อยู่ที่ 2,800 เมกะวัตต์ เป็นโครงการภายใต้การดำเนินการของ กฟผ.เองไม่ใช่ของบริษัทเอกชน ดังนั้นจึงไม่ต้องมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่จะเป็นภาระผูกพันแต่อย่างใด ซึ่งหากมันไม่มีประโยชน์และมีข้อมูลประจักษ์แจ้งจากภาคประชาชนแล้ว กฟผ. ก็สามารถยกเลิก หรือเลื่อนการพัฒนาโรงไฟฟ้าไปได้อีกยาว เพราะในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ ระบบไฟฟ้าของประเทศไทย มีกำลังผลิตสำรองอยู่แล้ว จะช่วยให้ไทยไม่ต้องมีโรงไฟฟ้าส่วนเกินจำนวนกว่า 5,000 เมกะวัตต์
“จากปีนี้ถึง ปี 2579 เราจะพบว่า ไฟฟ้าในระบบนั้นเกินมาตรฐานมาโดยตลอดจากเดิมเรากำหนดสำรองแค่ 15 เปอร์เซ็น แต่ปัจจุบันเรามีสูงถึง 30-40 เปอร์เซ็น แต่ปรากฏว่าไทยยังมีวิกฤติไฟฟ้า นั่นไม่ใช่เพราะโรงไฟฟ้าไม่พอ แต่เป็นความไร้ระเบียบของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ทำหน้าที่บริหารไฟฟ้า ทั้ง กฟผ.และ บริษัท ปตท. ซึ่งผูกขาดทางพลังงาน ผมจึงกล้าฟันธงได้เลยว่า โรงไฟฟ้ากระบี่และเทพา ไม่ต้องมีก็ได้ ภาคใต้ไม้เผชิญวิกฤติแน่นอน นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คนไทยควรรู้อีกประเด็น คือ ธุรกิจถ่านหินเป็นนโยบายระยะยาวที่เน้นขยายการขายให้ได้ 70 ล้านตันต่อปีในอีก 5 ปี ข้างหน้า โดยการดำเนินธุรกิจของ บริษัท ปตท. ที่ต้องการติด 1 ใน 5 ของบริษัทเอเชียในการทำธุรกิจ ดังนั้นจึงมีความพยายามในการผลักดันโคงการ” นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน กล่าว
ด้านนายธีรพจน์ กษิรวัฒน์ ผู้แทนเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน กล่าวว่า กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น จากการทำวิจัยเชิงคุณภาพที่ดำเนินการโดยภาคธุรกิจการท่องเที่ยว นั้นมีการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและในไทย พบว่า ว่านักท่องเที่ยวประมาณ 80-90 เปอร์เซ็น ไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน และมองว่าวิกฤติขยะจากการท่องเที่ยวเองก็ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วน อาทิ ประเทศแถบสแกนดิเนเวียปฏิเสธการเที่ยวแล้ว ดังนั้นหากเกิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน เชื่อว่ากระบี่และพื้นที่ทะเลอันดามันวิกฤติหนักแน่นอน ทางเครือข่ายจึงต้องเร่งรณรงค์คัดค้านต่อไป
ขณะที่นายดิเรก เหมนคร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนพัฒนาเมืองเทพา จังหวัดสงขลา กล่าวว่า กรณีการพัฒนาโรงไฟฟ้าเทพานั้นเป็นการฉกฉวยโอกาสของรัฐบาลที่ทำให้คนเทพาต้องทำใจ เพราะที่ผ่านมาเวทีประชุมชี้แจงโครงการและรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 ( ค.1) ประชาชนหลั่งไหลเข้าไปคัดค้าน แต่รูปแบบการจัดเวที ก็ยังไม่เอื้อต่อการนำเสนอข้อมูลภาคประชาชน ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็เฝ้าสถานการณ์ต่อเนื่อง ประชาชนมีเวลาในการแสดงความคิดเห็นน้อย แม้จะมีข่าวความเคลื่อนไหวของประชาชนมาโดยตลอด แต่กลับพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลก็ยังเดินหน้าดำเนินการต่อ จนมาถึงเวที ค.3 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2558 นี้ ซึ่งทางเครือข่ายเชื่อว่า จะเป็นไปไม่ต่างกับเวที ค.2 และ ค.1 โดยขณะนี้ชาวบ้านพยายามหาระเบียบของการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอยู่ เพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์และจะหารือเครือข่ายภาคี ก่อนการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ และมีเงื่อนไขในการเข้าร่วมอย่างไรบ้าง แต่ที่ผ่านมาสังคมรับรู้แล้วว่า เวทีของภาครัฐมีความเหลื่อมล้ำในการออกเสียงและแสดงความเห็นแม้แต่ประเด็นสาธารณะที่คนได้รับผลกระทบจำนวนมาก
อนึ่ง การจัดเวทีค. 3 จะจัดขึ้น ณ องค์การบริหารส่วนตำบลปากบาง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา โดยวันที่ 27 กรกฎาคม เป็นกรณีการรับฟังความคิดเห็นโรงไฟฟ้า และวันที่ 28 กรกฎาคม เป็นกรณีท่าเทียบเรือ ขณะที่ภาคประชาชนกลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้เชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมแสดงเชิงสัญลักษณ์ ปกป้องอันดามัน และต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการฯ
///////////////////////////////