เรือใบโฟมจากเนาะและตรังคู่หูต่างวัยชาติพันธุ์ชาวเลถูกลอยลง ณ “บึงขุมเขียว”ให้ไหลอย่างอิสระ ณ ชุมชนทับตะวัน อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เมื่อครั้งคณะสื่อมวลชนได้ร่วมงาน“วันรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ครั้งที่ 4” เป็นเหมือนภาพย้อนแยงกระแสชีวิตชาวเล ที่ลดน้อยถอยลงทุกที ขณะที่เด็กชาวเลมีเรือโฟมเป็นของเล่น แต่ชีวิตจริงของผู้เป็นบรรพบุรุษกลับถูกรุกรานไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งถูกไล่ ยิงปืนขู่ไม่ให้พื้นที่จอดเรือบนป่าชายเลนขุมเขียว การถูกเอกชนรุกที่อ้างกรรมสิทธิ์ที่ดินบนสุสานร้อยปีป่าเปลว หาดปากวีป จ.พังงา ปัญหาถูกไล่ที่เกาะพีพี จ.กระบี่ กรณีชาวเลกว่า 20 รายถูกฟ้องขับไล่ที่ดิน หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต และเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สะท้อนชีวิตที่กำลังเผชิญวิฤติสุดโต่งของชาวเลในประเทศไทยอย่างมาก
เนาะยอมรับว่า พูดภาษาพื้นเมืองชาวเลไม่ได้สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมอแกลน มอแกน หรือ อูรักลาโว้ย แต่ที่ยังระลึกเสมอว่าและกล้ายืนยันว่าตนเป็นชาวเล เพราะพ่อและแม่ยังคงพาออกเรือประจำจับกุ้ง หอย ปู ปลา ที่แหลมปะการัง ส่วนอาชีพเสริมคือวิดเศษแร่เท่านั้นที่มาเพิ่มเติมหลังเกิดสึนามิ เนื่องจาก อ.ตะกั่วป่าเป็นแหล่งเหมืองแร่ดีบุกที่สำคัญ แต่ปัญหาที่ คือ ณ บึงขุมเขียวแห่งนี้มีหมาดุมากถึง 20 กว่าตัว คอยไล่กัดหากเรือประมงที่มาจอดขวางหูขวางตา ขณะที่เสียงปืนขู่ไล่ก็ดังก้องทั่วขุมเขียว บริเวณที่ถูกอ้างกรรมสิทธิ์ว่าเป็นของ “โกแป๊ะ”
“พี่ต้องเดินระวังๆ นะ อย่าทำเสียงดัง และก็ต้องรีบเดินทางไปคุยกับน้าๆชาวมอแกลนก่อนเย็น เพราะเย็นๆ โกแป๊ะจะมีลูกน้องยิงปืนขู่” เด็กชายวัย 10 ขวบ บอกด้วยความไร้เดียงสา ระหว่างเดินทางไปหา “พัน หาญทะเล” ชาวบ้านซึ่งเป็นตัวแทนการต่อสู้กับโกแป๊ะมานานตั้งแต่สึนามิสงบลง ระหว่างทางเดินจากฝั่งหนึ่งสู่พื้นที่อีกฝั่ง ระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ในบริเวณที่ดินซึ่งโกแป๊ะ อ้างว่าเป็นของตน มีทั้งบ่อกุ้ง ดงมะพร้าวที่ปลูกเป็นแนวล้อมรอบ พร้อมคันหินโบกด้วยปูนหินกันดินถล่มรอบพื้นที่
ทันทีที่ไปถึง พัน รีบกุลีกุจอเดินออกมาจากพื้นที่วิดแร่ด้วยกลัวน้ำจะขึ้นและเกรงว่าจะมีใครได้ยินกรณีสัมภาษณ์สื่อ จึงได้พาเดินออกมายังพื้นที่ใกล้หมู่บ้าน โดยพัน อธิบายว่า ชาวมอแกลนในทับตะวัน มีเรือใช้สำหรับการประมงราว 30 ลำ เป็นเรือที่ได้รับบริจาคหลังเกิดภัยสึนามิและใช้หากินไปตามท้องทะเล แต่จะจอดเรือไว้ที่ขุมเขียว โดยในอดีตพื้นที่ขุมเขียวเป็นพื้นที่สาธารณะ ชาวบ้านปลูกป่าชายเลนและช่วยกันดูแลรักษาอย่างดี สามารถออกเรือหาสัตว์น้ำเค็มได้สบาย รวมทั้งหาหอยในน้ำตื้นก็ยังได้ แต่หลังจากโกแป๊ะอ้างกรรมสิทธิที่ดินพยายามขู่ชาวบ้านและไล่ที่ รวมทั้งฟ้องศาลในข้อหาบุกรุกตลอดเวลา บางครั้งปล่อยหมาไล่กัด คนทับตะวันจึงเดือดร้อนต่อกรณีดังกล่าวมากและร้องเรียนหน่วยงานรัฐในพื้นที่ รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนให้ช่วยเหลือมาตลอด ขณะนี้ขั้นตอนการดำเนินการยังอยู่ในขั้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องเอกสารสิทธิ อย่างไรก็ตามทุกๆ ปีของงานรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ชาวมอแกลน ทับตะวันยังคงยกปัญหาเรื่องนี้เข้ามาเสวนากลุ่มพื่อหาทางออกทุกครั้ง แต่ภาครัฐก็ละเลยพวกเขาดุจบุคคลที่ถูกชาติลืมไปแล้ว
ท่ามกลางแดดร้อนระอุในพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมชาวเลฯ ชุมชนบ้านทุ่งหว้า หมู่ 5 ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า ขณะที่การแสดงร็องแงง และดนตรีพื้นบบ้านบรรเลงไปกึกก้องทั่วงาน “ลุงห้อง กล้าทะเล” ชาวมอแกนในฐานะประธานชุมชนทุง่หว้า เปิดประตูพิพิธภัณฑ์ให้สื่อมวลชนและกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจเข้าเยี่ยมชมอีกด้านของหลักฐานและเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ชาวเลและวิกฤติเรือก่าบาง เรืออันเป็นดั่งลมหายใจของชาวเล
“ตั้งแต่เหตุการณ์สีนามิปี 2547 หลายคนงง ว่า มอแกลน มอแกน และอูรักลาโว้ยที่รอดชีวิตจากคลื่นยักษ์เป็นใคร มันใช่คนไทยไหม พม่าหรือเปล่า เพราะเราเขียนหนังสือไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ออกหากแต่ยังมีลกหลานบางคนพูดและฟังภาษาไทยกลางได้เท่านั้น พวกเราจึงตกขอบการสำรวจมาโดยตลอดและมักไม่ได้รับการช่วยเหลือเพราะไม่มีเอกสารทางการทั้งๆที่ปักหลักอยู่เมืองไทยและออกทะเลไทยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ”
ลุงห้องสะท้อนสังคมปัจจุบันว่า คนไทยในทางวิชาการเรียกชาวเลว่า ไทยใหม่โดยส่วนมากรู้จักชาวเลทุกกลุ่มหลังเกิดสึนามิ ซึ่งครั้งนั้นชุมชนชาวเลได้รับความเสียหายทั้งผู้คน ทรัพย์สิน และบ้านเรือน ในตำบลคึกคักประมาณ 26 ไร่ ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์เข้าปลูกบ้านเรือนอาศัยอยู่แบบเดิมได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานในการถือครองที่ดิน แต่ต่อมามีองค์การพัฒนาเอกชน เช่น ชุมชนไท สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช) ได้เข้ามามีบทบาทในการระดมทุนช่วยเหลือ จึงยังสร้างชุมชนได้ในเนื้อที่16 ไร่ และเปิดศูนย์วัฒนธรรมชาวเลบ้านทุ่งหว้า เพื่อรวบรวมภาพลักษณ์และเรื่องเล่าของชาติพันธุ์ชาวเลให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจ บริการทั้งข้อมูลภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นมากคือเรื่องสัมพันธภาพแห่งเรือ คน และทะเล เป็นเรื่องราวของชาวมอแกนที่ต้องต่อ “เรือก่าบาง” เรือที่เป็นทั้งที่เกิด ที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากิน และที่ตายของชาวมอแกน
“ลุงห้อง” อธิบายว่า ชาวเลมอแกนเป็นชาวเลที่มีชีวิตส่วนมากในทะเล โดยมีเรือ 2 ชนิดที่จำเป็นคือ เรือก่าบางและเรือมาช เรือทั้งสองต่างกันที่ขนาดและการใช้ โดยเรือก่าบางนั้นมีความยาวประมาณ 7-11 เมตร ตัวเรือหลักประกอบด้วยไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ แล้วบุผนังเรือด้วยไม้ระกำมีคุณสมบัติดีช่วยทุ่นน้ำหนักเรือได้ในกรณีที่ต้องออกทะเลเป็นเวลานานและบรรทุกสิ่งของปริมาณหนัก เหมาะแก่ครอบครัวใหญ่ การกระดิษฐ์เรือลำขนาดใหญ่นี้ต้องอาศัยพิธีกรรมตั้งแต่การโค่นต้นไม้ไปจนเสร็จสิ้นกระบวนการลอยเรือออกทะเลลึก ขณะที่เรือมาชมีขนาดประมาณ 4-5 เมตร ใช้เป็นเรืออาศัยและเรือโดยสารในพื้นที่ใกล้ๆ ไม่สามารถออกทะเลลึกได้ แต่วิกฤติที่เผชิญ คือ เรือก่าบางหายไปจากสังคมไทยประมาณ 30 ปีแล้ว โดยก่อนสึนามิก็ยังมีอยู่บ้างบางลำ แต่พอคลื่นซัดพังทลายลง พบว่าคงเหลือลำสุดท้ายที่หมู่เกาะสุรินทร์ อ.คุระบุรี ซึ่งจัดโชว์ให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมเท่านั้น ส่วนแบบจำลองก็อาศัยผู้รู้ประดิษฐ์ขายลำละประมาณ 5 หมื่นบาท
ต่อสถานการณ์ดังกล่าว นายศักดา พรรณ์รังษี กรรมการการมีส่วนร่วมการฟื้นฟูวิถีชีวิต วัฒนธรรมชาวเล กล่าวว่า ผู้เฒ่าหลายคนกังวล เรือก่าบาง ที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นลมหายใจของชาวเลจะสูญสิ้นไปโดยว่างเปล่า ขณะที่ตำนานเรื่องเล่าของเรือชนิดนี้ก็เริ่มเงียบลง ชาวเลกลุ่มมอแกน จึงพยายามคิดวิธีในการฟื้นฟูความสำคัญของสัญลักษณ์ชาวเลขึ้นมาอีกครั้ง โดยเสนอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมอนุรักษ์อย่างจริงจัง โดยพยายามล่ารายชื่อ 1 แสนรายขอตัดต้นตะเคียน 1 ต้น ซึ่งมีอยู่แค่ในอุทยานแห่งชาติของไทยเท่านั้น จึงจำเป็นต้องขออนุญาติกรมอุทยานแหง่ชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำพิธีตัดไม้มาทำเรือไว้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของชาวเล หลังจากสึนามิทำลายเรือจำนวนน้อยและชุมชนมอแกนช่วงปี 2547 แต่อีกปัญหาคือ การล่ารายชื่อก็ยังยากเพราะชาวเลบางกลุ่มไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน จึงจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลความสำคัญของเรือก่าบางออกสู่สาธารณะและผลักดันให้ชุมชนชาวเลเป็นพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ ซึ่งเรื่องของเรือก่าบางก็ต้องเป็น 1 ในตำนานวิถีชีวิตชาวเลที่ควรอนุรักษ์
สังคมไทยน้อยคนจะรู้จักเรือก่าบาง แต่สำหรับต่างชาตินั้น ครั้งหนึ่งเรื่องเล่าเรือก่าบางเคยเดินทางปไกลถึง พิพิธภัณฑ์ คอนติกิ ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
โดยมอแกนหนุ่มสองพี่น้องคือ “ตะวัน และ “สุริยัน กล้าทะเล”จากเกาะสุรินทร์ จ.พังงา ได้ประดิษฐ์เรือขึ้นแล้วเดินทางไปส่งเรือพร้อมร่วมงานประชุมทางวิชาการเรื่อง The man in the ocean รวมทั้งแสดงโชว์วิถีชีวิตบนเรือก่าบางสู่สายตาชาวโลก ได้รับความสนใจจากประชาชนในประเทศนอร์เวย์อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ชาวมอแกนจึงเร่งผลักดันเรื่องวัฒนธรรมและความรู้ของเรือแห่งชีวิตให้เป็นที่รู้จักของสังคมไทย
สุริยัน กล่าวว่า ชีวิตช่วงที่ถูกต่างชาติพาไปแสดงโชว์นั้นเหมือนฝันมาก สงสัยมาตลอดว่าทำไมเขาสนใจเรือก่าบางมากนัก ทั้งทุ่มเทหาไม้มาให้ จ้างทำแล้วยังเชิญเราไปโชว์ชีวิตของชาวเลอีก รู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เปิดโลกชาวเลให้ฝรั่งรู้ แต่ในใจก็อยากจะผลักดันให้คนไทยเข้าใจรากเหง้าของตนเองมากกว่า
นักประดิษฐ์เรือแห่งท้องทะเลยืนยันว่าตนและครอบครัวรู้วิธีการสร้างเรือก่าบางอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นขั้นมืออาชีพเหมือนรุ่นเก่า แต่ก็พอเข้าใจวัฒนธรรมชาวเลอย่างดีและคิดว่าประเทศไทยควรให้ความสำคัญในฐานะประวัติศาสตร์เรือแห่งตำนาน จึงอยากจะสร้างขึ้นมาอีกสักครั้งเผื่อว่าลำปัจจุบันอันเป็นลำสุดท้ายชำรุดลง จะได้มีเรือใหม่แทนที่ แต่ด้วยข้อจำกัดทางสิทธิที่สวนทางกับความมานะของชาวเล ซึ่งต้องการประกาศความเป็นเอกลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ยังทำได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องขอตัดต้นตะเคียนจากป่า ซึ่งต้องทำพิธีขอขมาก่อนตัด หลังตัด การขุดตัวเรือ ไปจนช่วงลอยเรือลงทะเล รู้ว่ายากแต่ยังเดินหน้าผลักดันและล่ารายชื่อต่อไป
“ผมก็แก่เรื่อยๆ ลูกหลานผมจะไม่มีสิทธิรู้ประวัติศาสตร์ของพวกเราเลยเหรอ ผมถึงยอมแชร์ข้อมูลทั้งในไทยและชาวต่างชาติ ก็เพราะผมอยากให้โลกรู้ว่าเรามีตัวตน ชาวเลมีที่มาแน่นอนว่าหากฝรั่งเขารู้ว่าชาวเลมีที่มาอย่างไร แต่คนไทยไม่รู้เป็นเรื่องแปลกมาก เพราะชาวเลยืนยันว่าตัวเองเกิดในไทย ก่อนประกาศเขตอุทยานด้วยซ้ำ ชาวเลรู้ว่ามีวิธีการออกเรืออย่างไร พายุมาต้องเดินทางแบบใด อะไรควรไม่ควรทำ เหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็น ขณะที่คนไทยเองประเทศมีทะเลทั้งอันดามัน ทั้งอ่าวไทย ถ้าไม่รู้ว่าชาวเลเป็นกลุ่มใด ใช้ชีวิตอย่างไรก็น่าห่วงเช่นกัน อย่างเรือก่าบางนี้ มีเป็นร้อยๆปีที่ บางลำอยู่กัน 2 ครอบครัว เราถึงกล้าเรียกว่าเรือแห่งชีวิต ลูกหลานชาวเลก็ควรรู้” สุริยัน กล่าว
ลักษณะพิเศษของเรือก่าบางที่ไม่เหมือนเรือชนิดใดในโลกคือ ท้องเรือจะเป็นรูปจะงอย เป็นภูมิปัญญาของชาวมอแกน ที่สร้างแบบนี้เพื่อจะให้สามารถขึ้นบนเรือได้ง่าย ไม่ต้องใช้บันไดปีนขึ้น ผนังด้านนอกของเรือบุด้วยไม้ระกำเป็นตัวยึดแล้วช่วยพะยุง เพื่อให้เรือลอยตัวได้ดีในน้ำคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างคือ เรือทั้งลำจะไม่มีการใช้ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่จะใช้ไม้หมากผ่าแหลมๆและเถาวัลย์เป็นตัวยึดและเชื่อมต่อระหว่างซี่ไม้ที่ใช้ประกอบบนเรือ เป็นภูมิปัญญาของชาวเลมอแกนที่น่าทึ่ง ซึ่งชาวมอแกนเชื่อว่าถ้าสร้างเรือก่าบางได้อีกสักลำ จะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวไทยและเป็นอนุสรณ์ของชาวเลได้
เป็นเรื่องแปลกที่ประเทศนอร์เวย์ยังคงเก็บรักษาเรือจากฝีมือคนไทย และเป็นสัญลักษณ์ของรากเหง้าชาวเลไว้ขณะที่ประเทศไทยชาวเลยังต้องดิ้นออกจากปัญหาและทำทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งสิทธิในการประกาศวัฒนธรรมยพื้นเมือง ในวันนี้หากฝันของสุริยันและชาวเลทุกคนเป็นจริง รัฐบาลไทยเข้าใจเจตนารมณ์ยอมให้ตัดต้นตะเคียนมาใช้ อย่างน้อยเรือก่าบางก็จะมีตั้งตระหง่านที่ประเทศไทย
แต่ใครจะเดาคำตอบได้ เพราะปัจจุบันชีวิตของชาวเลที่มีอยู่แค่ไม่ถึง 20,000 คนยังต้องดิ้นรนทุกทางเพื่อสิทธิการมีบัตรประจำตัวประชาชน สิทธิการอยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน ที่นับวันทุนใหญ่เข้าเบียดบังจนแทบตกขอบประเทศไทย
24 พฤศจิกายน 2556