
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 สำนักข่าว Lao Economic Daily รายงานว่า ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 3 ตุลาคม 2568 ณ นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว ได้มีการประชุมรัฐมนตรีเหมืองแร่อาเซียน(ASEAN Ministerial Meeting on Minerals (AMMin) ครั้งที่ 10 ภายใต้หัวข้อ Invest ASEAN: Mineral for the future โดยมีนาย มาไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า แห่ง สปป.ลาว เป็นประธาน ซึ่งมีตัวแทนรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงเหมืองแร่ จากประเทศสมาชิกอาเซียน ติมอร์-เลสเต ประเทศคู่ค้าร่วมเจรจา (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) และองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วม
ทั้งนี้ในที่ประชุมตัวแทนสมาชิกแต่ละประเทศ ได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับการพัฒนาเหมืองแร่อาเซียน และการประชุมดังกล่าว ได้มีการรับรองเอกสารและหน้าที่สำคัญ เช่น วิสัยทัศน์แร่ธาตุของอาเซียน(ASEAN Mineral Development Vision) ปี 2045 มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีทีทันสมัย ธรรมาภิบาล ความยั่งยืนและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์แร่ธาตุอาเซียน (ASEAN Mineral Development Declaration) , แผนความร่วมมือด้านแร่ธาตุ 2026-2030 (AMCAP-IV) ระเบียบเกี่ยวกับข้อมูลแร่ธาตุอาเซียน(AMIS) คู่มือการลทุนด้านแร่ธาตุของอาเซียน(ASEAN Mineral investment Guidebook) โดยเอกสารดังกล่าว จะเป็นคู่มือสำคัญที่เป็นแนวทางให้แก่การดำเนินความร่วมมือด้านแร่ธาตุ โดยเฉพาะเชิงเทคนิควิชาการด้านแร่ธาตุ การสร้างขีดความสามารถด้านทรัพยากรมนุษย์ด้านแร่ธาตุ การลทุนด้านแร่ธาตุในอนาคต ความร่วมมือทางเทคนิคและเทคโนโลยีแร่ธาตุ และอื่นๆ

นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้มอบรางวัลแร่ธาตุอาเซียน ให้แก่บริษัทลทุนด้านเร่ธาตุจากประเทศเอาเซียนที่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ครั้งที่ 4 จำนวน 14 บริษัท
ขณะที่เว็บไซต์ ของ ASEAN ได้โพสต์ใบแถลงข่าวร่วมผลการประชุมรัฐมนตรีเหมืองแร่อาเซียน และแถลงการณ์ร่วม โดยเนื้อหาบางส่วนระบุว่าเป็นการประชุมที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยน การพัฒนาแร่ธาตุอย่างยั่งยืน การลงทุน โอกสารและยุทธศาสตร์ความร่วมมือระดับภูมิภาค จำนวน 23 หัวข้อ โดยมีประเด็นสำคัญคือ การขยายให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางภูมิภาคในการลงทุนด้านเหมืองแร่ที่ยั่งยืน (ASEAN Regional Hub For Sustainable Mineral Investment)

ทั้งนี้ที่ประชุมยินดีกับรายงานฉบับสมบูรณ์ของการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ( Deep Dive Study on Critical Mineral Supply Chains ) ซึ่งพัฒนาร่วมกับเวทีระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการขุดแร่ แร่โลหะ และการพัฒนาที่ยั่งยืน (IGF) ซึ่งนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับอาเซียนในการเพิ่มส่วนแบ่งในห่วงโซ่คุณค่าเทคโนโลยีปลายน้ำ การศึกษานี้ยังได้รับการสนับสนุนจากการวิเคราะห์เชิงภาคส่วน 5 หัวข้อ ได้แก่ (i) การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (ii) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (iii) เซมิคอนดักเตอร์ (iv) เซลล์แสงอาทิตย์ และ (v) พลังงานลม ซึ่งแต่ละหัวข้อได้ระบุแนวทางที่น่าเชื่อถือสำหรับอาเซียนในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคแบบบูรณาการ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงการผลิต และที่ประชุมยังยินดีกับการพัฒนาคู่มือด้านนโยบายและการลงทุนของอาเซียน นำโดยสปป.ลาว ด้วยการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร ผ่านโครงการ Sustainable for ALL(SEforALL)
อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการประชุมครั้งนี้ แม้ขณะนี้หลายประเทศในภูมิอาเซียนกำลังเผชิญเรื่องมลพิษข้ามแดนจากการทำเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเหมืองแรร์เอิร์ทและเหมืองทองในประเทศพม่า ซึ่งประชาชนในประเทศไทยและประเทศท้ายน้ำนับล้านคนกำลังเดือดร้อน แต่กลับไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแต่อย่างใด
ด้าน อาจารย์อริศรา เหล็กคำ อาจารย์สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย กล่าวว่า ข้อเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อผู้แทนไทยในที่ประชุมรัฐมนตรีด้านแร่ธาตุอาเซียน ในฐานะประชาชนจังหวัดเชียงราย ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ซึ่งมีต้นเหตุจากการทำเหมืองในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา
“ดิฉันขอแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนที่กำลังทวีความรุนแรงและกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงโดยรวม รายงานผลคุณภาพน้ำและตะกอนดินของกรมควบคุมมลพิษ พบค่าการปนเปื้อนสารหนู (Arsenic) ตะกั่ว (Lead) และแมงกานีส (Manganese) ในหลายจุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย-รวกเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะสารหนูที่เกินเกณฑ์กำหนดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะมลพิษตกค้างถาวร (persistent pollution) ที่ฟื้นฟูได้ยากและอาจคงอยู่ในระบบนิเวศหลายสิบปี” อาจารย์อริสรา กล่าว
ผศ.ดร.อริศรากล่าวว่า รายงานจากสำนักข่าวชายขอบเปิดเผยว่าพื้นที่ต้นน้ำกกและต้นน้ำสายในรัฐฉานตอนใต้มีเหมืองทองคำและเหมืองแรร์เอิร์ธ (Rare Earth Mines) รวมกว่า 20 แห่ง หลายแห่งตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำในรัศมีไม่ถึง 1 กิโลเมตร บางแห่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังติดอาวุธ United Wa State Army (UWSA) ซึ่งอยู่นอกอำนาจรัฐ ส่งผลให้กิจกรรมเหมืองเหล่านี้ขาดการควบคุมทางสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบย้อนกลับ และกลายเป็นแหล่งสะสมสารพิษที่ไหลลงสู่แม่น้ำกกก่อนลงสู่แม่น้ำโขง ขณะที่ Stimson Center (2025) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านนโยบายระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ยืนยันว่ามีเหมืองแรร์เอิร์ธมากกว่า 540 แห่งกระจายอยู่ทั่วลุ่มน้ำโขงและสาขา
“การหลอมรวมของ “ทุนผิดกฎหมาย–ทรัพยากรธรรมชาติ–อาชญากรรมไซเบอร์” (Illicit finance–resource extraction–cybercrime nexus) ที่กำลังคุกคามเสถียรภาพของภูมิภาค” อาจารย์อริศรา กล่าว
อาจารย์อริศรากล่าวว่า ขอเสนอข้อเสนอแนะ 1. ผลักดันให้อาเซียนบรรจุประเด็น “เหมืองผิดกฎหมายและมลพิษข้ามพรมแดน” เป็นวาระหลักของการประชุมระดับรัฐมนตรี เพื่อสร้างการรับรู้ร่วมกันในภูมิภาคถึงความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมเหมืองที่ขาดการกำกับกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางน้ำ สุขภาพ สิทธิมนุษยชน และความมั่นคงที่มิใช่ทางทหาร (Non-traditional Security Threats) โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความเปราะบางสูง 2. ผลักดันให้มีการปรับนโยบายด้านแร่ธาตุของอาเซียนให้สอดคล้องกับหลักการขององค์การสหประชาชาติ โดยเน้นหลัก ความโปร่งใส การตรวจสอบย้อนกลับ ความเป็นธรรม และ ความรับผิดชอบของภาคเอกชนเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบในทุกขั้นตอนของการผลิต
3. จัดตั้งกลไกเฝ้าระวังร่วมระดับภูมิภาค (ASEAN Shared Monitoring Platform) เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลา
4.กำหนดหลักการ “No-Harmful” และ “Polluter Pays Principle” ในกรอบนโยบายเหมืองของอาเซียน เพื่อให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่ายสำหรับการฟื้นฟูและเยียวยาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม 5. ส่งเสริมความรับผิดชอบของนักลงทุนและผู้ประกอบการในกรอบอาเซียน
6. จัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN Regional Environmental Remediation Fund – ARERF) เป็นกลไกกลางระดับภูมิภาคสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดนทุกประเภท ไม่จำกัดเฉพาะจากเหมืองแร่ แต่ครอบคลุมถึงมลพิษจากการเผาในที่โล่ง หมอกควัน มลพิษทางน้ำ และขยะทะเล
(อ่านรายละเอียดในบทความของ ผศ.ดร.อริศราใน https://transbordernews.in.th/home/?p=44067 )