อาจารย์อริสรา เหล็กคำ
อาจารย์สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ในฐานะประชาชนจังหวัดเชียงราย ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ซึ่งมีต้นเหตุจากการทำเหมืองในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ข้าพเจ้าขอแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนที่กำลังทวีความรุนแรงและกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงโดยรวม
รายงานผลคุณภาพน้ำและตะกอนดินของกรมควบคุมมลพิษ พบค่าการปนเปื้อนสารหนู (Arsenic) ตะกั่ว (Lead) และแมงกานีส (Manganese) ในหลายจุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย-รวกเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะสารหนูที่เกินเกณฑ์กำหนดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะมลพิษตกค้างถาวร (persistent pollution) ที่ฟื้นฟูได้ยากและอาจคงอยู่ในระบบนิเวศหลายสิบปี
รายงานจากสำนักข่าวชายขอบเปิดเผยว่าพื้นที่ต้นน้ำกกและต้นน้ำสายในรัฐฉานตอนใต้มีเหมืองทองคำและเหมืองแรร์เอิร์ธ (Rare Earth Mines) รวมกว่า 20 แห่ง หลายแห่งตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำในรัศมีไม่ถึง 1 กิโลเมตร บางแห่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังติดอาวุธ United Wa State Army (UWSA) ซึ่งอยู่นอกอำนาจรัฐ ส่งผลให้กิจกรรมเหมืองเหล่านี้ขาดการควบคุมทางสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบย้อนกลับ และกลายเป็นแหล่งสะสมสารพิษที่ไหลลงสู่แม่น้ำกกก่อนลงสู่แม่น้ำโขง
อีกทั้ง รายงานของ Stimson Center (2025) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านนโยบายระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ยืนยันว่ามีเหมืองแรร์เอิร์ธมากกว่า 540 แห่งกระจายอยู่ทั่วลุ่มน้ำโขงและสาขา โดยใช้กระบวนการแยกแร่ด้วยการฉีดกรดเข้าภูเขา (acid leaching) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของสารหนู ปรอท แคดเมียม และแมงกานีส ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
รายงานยังระบุว่าเหมืองหลายแห่งรวมตัวอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของกองกำลังชาติพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์กับปักกิ่ง กองกำลังเหล่านี้มักพัวพันกับอุตสาหกรรมทรัพยากรผิดกฎหมายหรือการผลิตยาเสพติดเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงดูการปกครองและการป้องกันดินแดน อันแสดงให้เห็นว่าเหมืองแร่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจนอกระบบ (shadow economy) และอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการผลิตยาเสพติด การฟอกเงิน และอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งสะท้อนถึงการหลอมรวมของ “ทุนผิดกฎหมาย–ทรัพยากรธรรมชาติ–อาชญากรรมไซเบอร์” (Illicit finance–resource extraction–cybercrime nexus) ที่กำลังคุกคามเสถียรภาพของภูมิภาค เพื่อให้ไทยแสดงบทบาทผู้นำในเวทีอาเซียน และถือเป็นประเทศที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการทำเหมืองแร่ปนเปื้อนข้ามพรมแดน
ข้าพเจ้าขอเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายดังนี้ 1. ผลักดันให้อาเซียนบรรจุประเด็น “เหมืองผิดกฎหมายและมลพิษข้ามพรมแดน” เป็นวาระหลักของการประชุมระดับรัฐมนตรี เพื่อสร้างการรับรู้ร่วมกันในภูมิภาคถึงความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมเหมืองที่ขาดการกำกับกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางน้ำ สุขภาพ สิทธิมนุษยชน และความมั่นคงที่มิใช่ทางทหาร (Non-traditional Security Threats) โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความเปราะบางสูง
2. ผลักดันให้มีการปรับนโยบายด้านแร่ธาตุของอาเซียนให้สอดคล้องกับหลักการขององค์การสหประชาชาติ ตามรายงาน “Resourcing the Energy Transition: Principles to Guide Critical Energy Transition Minerals towards Equity and Justice” (UN Secretary-General’s Panel on Critical Energy Transition Minerals, 2024) โดยเน้นหลัก ความโปร่งใส การตรวจสอบย้อนกลับ ความเป็นธรรม และ ความรับผิดชอบของภาคเอกชนเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่การสำรวจ การทำเหมือง การแปรรูป ไปจนถึงการส่งออกและการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
3. จัดตั้งกลไกเฝ้าระวังร่วมระดับภูมิภาค (ASEAN Shared Monitoring Platform) เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางสำหรับติดตามการปนเปื้อนในทรัพยากรร่วม (shared resources) เช่น แหล่งน้ำสาขา ตะกอนดิน และลำน้ำระหว่างประเทศ พร้อมพัฒนามาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกันและการควบคุมไม่ให้เกินมาตรฐาน รวมถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) สำหรับมลพิษข้ามพรมแดน
4. กำหนดหลักการ “No-Harmful” และ “Polluter Pays Principle” ในกรอบนโยบายเหมืองของอาเซียน เพื่อให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่ายสำหรับการฟื้นฟูและเยียวยาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม
5. ส่งเสริมความรับผิดชอบของนักลงทุนและผู้ประกอบการในกรอบอาเซียน โดยผลักดันให้ประเทศสมาชิกจัดทำ ASEAN Responsible Investment and Mineral Supply Chain Framework เพื่อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมสำหรับการลงทุนในกิจการเหมืองและการจัดหาวัตถุดิบ โดยต้องสอดคล้องกับ OECD Due Diligence Guidance for Responsible Supply Chains of Minerals from Conflict-Affected and High-Risk Areas และ UN Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGPs) เพื่อให้แร่ธาตุที่ผลิตหรือจัดหาจากภูมิภาคอาเซียนเป็น “clean and conflict-free minerals” ปราศจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและมลพิษข้ามพรมแดน
6. จัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN Regional Environmental Remediation Fund – ARERF) เป็นกลไกกลางระดับภูมิภาคสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดนทุกประเภท ไม่จำกัดเฉพาะจากเหมืองแร่ แต่ครอบคลุมถึงมลพิษจากการเผาในที่โล่ง หมอกควัน มลพิษทางน้ำ และขยะทะเล ทั้งนี้ให้ใช้กองทุนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการตาม ASEAN Strategy on Climate Change and Environmental Security
ข้อเสนอดังกล่าวมิได้เป็นเพียงการจัดการปัญหามลพิษในระดับสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนไทยเท่านั้น หากแต่เป็นการทดสอบบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อน “การทูตเชิงรุกด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนผ่าน และความมั่นคงรูปแบบใหม่ของภูมิภาค
การดำเนินนโยบายดังกล่าวยังสอดคล้องกับทิศทางของรัฐบาลไทยที่มุ่งผลักดันประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050 ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมเชิงโครงสร้างในการยกระดับมาตรฐานประเทศเพื่อเข้าสู่การเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีพหุภาคี และบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านการทูตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
——–
อ้างอิง: (1) https://transbordernews.in.th/home/?p=43885 (2) https://transbordernews.in.th/home/?p=43959 (3) https://transbordernews.in.th/home/?p=43877