Search

เผยเหตุแรงงานในค่ายผู้ลี้ภัยออกไปทำงานน้อยกว่าที่คาด-พบสารพันปัญหาตั้งแต่การตรวจโรคไปจนถึงความไม่เข้าใจของเจ้าหน้าที่รัฐ-เตรียมรวบรวมข้อมูลทำคู่มือแจก-จัด Job Fair

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ให้ความเห็นชอบต่อมาตรการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในค่ายที่พักพิงตามแนวพรมแดน สามารถออกมาทำงานด้านนอกได้ว่า มีปัญหาหลายด้านที่ทำให้ผู้ลี้ภัยเข้าถึงตลาดแรงงานได้เพียง 400 คน จากตัวเลขที่ประมาณการไว้นับหมื่นคนที่จะออกมาทำงาน

“ถ้าดูพื้นที่ที่แรงงานออกไปทำงานเยอะ จะพบว่าเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย แต่พื้นที่ไกลๆ เขาไม่ไป อีกอย่างคือนายจ้างก็คงยังไม่รู้ว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยจะเข้าถึงอย่างไร มันไม่ได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการจัดการ เช่น เรื่องการตรวจสุขภาพซึ่งมีการเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ 3 รอบแล้ว รอบแรกให้ไปตรวจที่ปลายทางที่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นตรวจที่ต้นทาง พื้นที่อำเภอซึ่งแคมป์ผู้ลี้ภัยตั้งอยู่ ล่าสุดเปลี่ยนใหม่ ตรวจต้นทางไปซื้อประกันปลายทาง ทำให้การจัดการวุ่นวาย เกิดความล่าช้าขึ้นมา”นายอดิศร กล่าว

ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวอีกว่า ล่าสุดที่เจอปัญหาก็คือ ระบบ Outsource ในการจัดทำใบอนุญาตทำงานระบบใหม่ยังไม่ลงตัว เนื่องจากกำหนดให้ตัวผู้ลี้ภัยต้องมีอีเมลเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้

“ถ้าเป็นแรงงานภาคเกษตรทำไม่ได้ เขาก็ต้องหาทาง อย่างเคสโรงงาน ทางโรงงานต้องไปทำอีเมลเองแล้วเอาอีเมลนี้ไปเข้าให้คนงาน ผู้ลี้ภัยถึงจะลงได้ มันวุ่นวายและล่าช้า ตัวผู้ลี้ภัยก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าออกไปทำงานแล้วยังไง ทำให้การตัดสินใจจะออกไปทำงานค้างๆคาๆ” นายอดิศร กล่าว

นายอดิศร ยังกล่าวอีกว่า การทำสัญญาจ้างแบบคนไทยคือสัญญาปากเปล่าทำให้เวลามีปัญหาจะเกิดคำถามว่าทำไมฉันต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งมาจากการทำสัญญาจ้างที่ไม่ชัดเจนและตัวผู้ลี้ภัยเองเข้าใจผิด

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวว่าคนงานในค่ายที่ออกไปทำงานได้ค่าจ้างต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นายอดิศรกล่าวว่า บางครั้งอาจมีความเข้าใจผิดเพราะเงื่อนไขการจ้างที่แตกต่างกัน อย่างกรณีทำงานแกะลำไยซึ่งวันหนึ่งๆแกะได้ไม่มากเพราะมือใหม่และนายจ้างก็คิดเป็นกิโลกรัม ทำให้มีรายได้น้อย ค่าข้าวยังไม่พอเลย สิ่งที่ต้องคุยกันคือในช่วงเริ่มงานควรจ่ายในอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพราะแรงงานภาคเกษตรไม่ได้รับการคุ้มครองตามพรบ. คุ้มครองแรงงาน นอกจากว่าจะเป็นการจ้างงานเกษตรทั้งปี แต่เมื่อแรงงานมีทักษะมากขึ้นค่อยจ่ายเป็นกิโลกรัม ดังนั้นต้องคุยเรื่องลักษณะหน้างานให้ชัดเจน โดยถ่ายรูปให้แรงงานในค่ายดูว่าลักษณะงานแบบนี้ ให้เขาตัดสินใจเองว่าจะทำหรือไม่ทำ

นายศิววงศ์ สุขทวี ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน กล่าวว่า ผู้ลี้ภัยในค่ายบางส่วนเคยทำงานข้างนอกบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยออกไป ดังนั้นเมื่อต้องออกไปจึงมีปัญหาอยู่บ้างโดยหลายคนมีความกังวลใจ

“มีการเข้ามาของตัวแทนเกษตรกรเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ผ่านทางสมาคม หรือสมาพันธ์ของเกษตรกร มีทีมเจ้าหน้าที่มาประสานงานกับทางแคมป์ แต่ด้วยขั้นตอนที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ด้วยความไม่รู้ว่าโครงสร้างในแคมป์ประกอบด้วยอะไรบ้าง ปัญหาพื้นฐานที่คนในแคมป์เผชิญอยู่มีอะไรบ้าง มันก็ทำให้ทุกฝ่ายเซอร์ไพรส์กันมากๆ เจ้าหน้าที่ในแคมป์เองเมื่อต้องมาเจอการรับสมัครคนงานจำนวนมากๆ ก็ค่อนข้างเหนื่อยกับการต้องไปเช็คประวัติในแคมป์ ซึ่งผมเข้าใจว่าขั้นตอนเริ่มต้นที่ซึ่งไม่มีใครนึกถึงก็คือการเช็คประวัติ ว่าใครเคยมีการกระทำความผิดมาก่อนไหม หรือมีประวัติการใช้ยาเสพติดมาก่อนไหม พอเริ่มมีการรับสมัครคนงานออกไปทำงานจริงๆ เลยต้องมีการมาตรวจประวัติ เป็นกลไกที่เพิ่มเติมขึ้นมา” นายศิววงศ์ กล่าว

ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน กล่าวเพิ่มเติมว่าการตรวจสุขภาพผู้ลี้ภัยเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการขอใบอนุญาตทำงานตามระเบียบการจ้างแรงงานต่างด้าว เมื่อเริ่มต้นปฏิบัติก็พบปัญหาโรงพยาบาลที่สามารถตรวจสุขภาพผู้ลี้ภัยหลายสิบคนต่อวันมีที่ อ.แม่สอด แห่งเดียว

นายศิววงศ์ กล่าวอีกว่า เมื่อการตรวจสุขภาพเสร็จสิ้นแล้วก็ยังต้องเข้าสู่กระบวนการขอใบอนุญาตทำงาน ภายใต้การดำเนินงานของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งเราพบว่ากรมการจัดหางานมีความเข้าใจผิดอยู่มาก ในช่วงต้นที่เราพบก็คือเขามองกลุ่มผู้ลี้ภัยการสู้รบเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งมันอยู่คนละสถานการณ์ แล้วก็อาจจะมีความเข้าใจผิดของเอกสารประจำตัวของคนกลุ่มนี้ที่ออกจากกระทรวงมหาดไทย หรือออกจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็เลยเป็นความล่าช้าไปอีก

“ในตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่า น่าจะมีบางคนจำนวนไม่มากที่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว และจำนวนมากกำลังอยู่ในระหว่างขอใบอนุญาตทำงาน เมื่อต้องใช้เวลาในการขอใบอนุญาตทำงานผู้ลี้ภัยที่ออกจากแคมป์มาแล้วจะกินอยู่อย่างไร คนที่ทำงานเล็กๆน้อยๆไปแล้วบ้างแต่ยังไม่ได้ค่าจ้างเท่ากับที่เข้าใจทีแรก นี่คือปัญหาที่ทำให้ทุกฝ่ายกังวลทั้งหมด ส่วนตัวผมคิดว่าก็ต้องค่อยๆแก้ไขกันไป อยู่บนพื้นฐานความสมัครใจของผู้ลี้ภัยบนข้อมูลพื้นฐานที่มีทั้งหมด ซึ่งหน้าที่ของเราคือให้ข้อมูลเขามากที่สุด”นายศิววงศ์ กล่าว

นายศิววงศ์ กล่าวอีกว่า จากปัญหาการกังวลเรื่องสแกมเมอร์ซึ่งนำไปสู่การปฏิเสธการใช้เอกสารอื่นๆนอกเหนือจากบัตรประชาชนไทยและพาสปอร์ต ทำให้คนต่างด้าวไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับค่าจ้างได้ นายจ้างก็ไม่สามารถจะจ้างงานได้เพราะจะทำให้ระบบบัญชีมีปัญหาด้วยเช่นกัน

“ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาทางกระทรวงมหาดไทยเองก็ดี ทั้งกรมการจัดหางานและกระทรวงสาธารณสุข ในพื้นที่ก็มีกลุ่มอัพเดตปัญหาที่เจอแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาซึ่งก็พยายามที่จะหาทางออก ผมคิดว่ามีความจำเป็นมากแล้วก็มีตัวแทนอย่างน้อย 3 กระทรวง มหาดไทย สาธารณสุข เข้ามาร่วมติดตามกระบวนการแก้ไขปัญหาทั้งระบบซึ่งก็จะทำให้ระบบปฏิบัติการได้ไวขึ้นลดภาระ ลดระยะเวลาของนายจ้างเองทำให้ผู้ลี้ภัยสามารถเข้าถึงตลาดแรงงานได้มากขึ้น ที่กังวลมากที่สุดคือกลไกของกรมการจัดหางานที่ตอนนี้ถูกบังคับให้ไปใช้ e-work permit นายจ้างก็บอกว่าถ้ายื่นที่จัดหางานจังหวัดตัวเองได้ก็ช่วยได้เยอะ หรือจัดหางานจังหวัดช่วยคีย์ข้อมูลเข้าระบบก็จะช่วยได้” นายศิววงศ์ กล่าว

ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน กล่าวเพิ่มเติมว่า คนในค่ายผู้ลี้ภัยมีหลายกลุ่ม กลุ่มที่มีการขึ้นทะเบียนแล้วก็ต้องมีการผ่อนผันตามมติ ครม.ให้คนในแคมป์ออกมาทำงานซึ่งก็ยากลำบาก ในขณะที่กลุ่มที่เหลือซึ่งมีกระบวนการอย่างไม่เป็นทางการอีกเกือบสามหมื่นกว่าคน หน่วยงานรัฐอาจจะคิดว่าเป็นกลุ่มลี้ภัยเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งต้องมาใช้ช่องทางมติครม. ที่เปิดขึ้นทะเบียนแรงงาน 3 สัญชาติล่าสุด ถ้าใช้ขั้นตอนเดิมแบบที่เคยทำมาก็อาจจะมีความง่ายกว่าการขออนุญาตในกรณีการเป็นผู้ลี้ภัยการสู้รบอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว

ด้าน นางนิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาว ตัวแทนกลุ่มนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าว กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานจัดหางานจังหวัดเป็นหน่วยงานหลักที่เข้ามาดำเนินการเป็นหลักทุกอย่างเกี่ยวกับการจ้างงานผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพ แต่ยังต้องการการทำความเข้าใจเรื่องการจ้างงานผู้ลี้ภัยจริงจัง ซึ่งให้ทีมงานไปคุยกับจัดหางานว่าถ้าต้องการแรงงานผู้ลี้ภัยจะต้องทำอย่างไร จัดหางานให้ข้อมูลน้อยมาก ส่งแต่ข้อมูลที่แบบเป็น Info ให้ แล้วก็บอกว่าให้ไปทำตามนี้ จัดหางานบางแห่งถามว่าผู้ลี้ภัยคือคนที่มีใบอนุญาตทำงานแล้วใช่หรือไม่ ให้มาต่อใบอนุญาตทำงานได้เลย สรุปแล้วจัดหางานยังไม่รู้เลยว่าผู้ลี้ภัยคือใคร

“ตอนนี้ NGO รวมตัวกันเพื่อที่จะทำเรื่องของคู่มือ เอาเรื่องของสัญญาจ้าง เอาเรื่องการจ้างงานมาใส่ไว้เป็นคู่มือภาษากะเหรี่ยง การดูแลแรงงาน การจ่ายเงิน และจะมีการทำ Job Fair เกิดขึ้น จะจัดงานกันที่ อ.แม่สอด หลังจากประชุมเสร็จจะคุยกับอาจารย์อดิศร เกิด ว่า Job Fair ควรจะเข้ามาใกล้กับนายจ้าง แล้วนายจ้างควรเข้าถึงแรงงานอย่างไร ซึ่งภาพดีๆก็มีแต่คนสื่อสารให้นายจ้างหรือคนนอกเข้าไปช่วยในแคมป์ยังไม่ชัดเจน วิธีการยังอยู่ที่จัดหางาน” ตัวแทนกลุ่มนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าว กล่าว

นายจ้างสีขาวผู้นี้กล่าวว่า คู่มือ ดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาคประชาสังคมและหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ โดยมีจัดหางานเป็นตัวหลักในการประสานงาน รวมถึงการจัด Job Fair ที่จะสามารถให้นายจ้างเข้ามาประชาสัมพันธ์ให้ภาพการทำงานการจ้างงาน ที่ผู้ลี้ภัยสามารถเลือกและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง กระบวนการนี้เป็นกระบวนที่ให้นายจ้างและผู้ลี้ภัยได้เจอกัน หากพิจารณาในแนวทางปฏิบัติของกรมการจัดหางานไม่ได้มีขั้นตอนนี้ ซึ่งทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐ และภาคประชาสังคม นายจ้าง ผู้ประกอบการ ต้องเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อหาแนวทางเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการจ้างได้

เมื่อถามว่าจริงหรือไม่ที่แรงงานกะเหรี่ยงออกมาบอกได้ค่าจ้างวันละ 30 บาท นางนิลุบล กล่าวว่าวันนี้มีคนพูดถึงค่าแรงที่น้อย ปลูกอ้อย 15 ต้น 30 บาท ตัดอ้อยตันละ 250 บาท

“วันนี้พูดในวงว่าที่คุณพูดถึงนายจ้างไม่ดี คุณเอานายจ้างมาพูดด้วยแล้วทำสัญญาจ้าง 3 ภาษา ไทย อังกฤษและกะเหรี่ยง ตอนจับคู่หางานคุยกันเลยว่าเขาจ้างเท่านี้แต่ต้องไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำหรือเปล่า ต้องให้เอ็นจีโอดูเพราะมีเรื่องของการเหมาจ่ายด้วย ถ้าตกลงด้วยค่าแรงนั้นแล้วโอเคก็เป็นหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายรวมถึงคู่มือการใช้แรงงาน ต้องทำงานกี่ชั่วโมง พักกี่ชั่วโมงส่วนงานที่ออกมาไม่ได้คุณภาพก็ต้องคุยกับนายจ้างแต่นี่ต่างฝ่ายต่างโยนกัน ภาคเกษตรต้องปรับเงินปรับราคาไม่เอาเปรียบแรงงานเหมือนกัน” กลุ่มนายจ้างสีขาว กล่าว


On Key

Related Posts

นักวิชาการแนะรัฐไทยเร่งหารือประเทศลุ่มน้ำโขงหลังตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน จ.เลย-หนองคาย-บึงกาฬ-นครพนม ภาคประชาชนจี้รัฐแจ้งความจริงให้ชาวบ้านทราบ-หาแนวทางปฎิบัติ-หวั่นหลายเมืองใช้น้ำโขงผลิตน้ำประปาได้รับผลกระทบ