เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566 สฤณี อาชวนันทกุล สฤณี อาชวนันทกุล หัวหน้าทีมวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มทุนใหญ่จากประเทศไทยพากันเข้าไปลงทุนสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในประเทศลาว โดยล่าสุดบริษัทกัลฟ์ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในโครงการเขื่อนปากแบงกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่าในฐานะที่เคยทำงานธนาคาร ดูเรื่องสินเชื่อโครงการ ปกติลูกค้าก็จะเป็นบริษัทแนวนี้ ถ้าดูเฉพาะเรื่องประเด็นทางการเงิน เป็นโครงการที่ธนาคารจะตัดสินใจง่ายมาก เพราะว่าลักษณะของสัญญาค่อนข้างมีความชัดเจนและมั่นคง ผู้ดำเนินโครงการได้รับการันตีแล้วเป็นสัญญาระยะยาวมาก ปกติ 20- 30 ปี โดยความเสี่ยงเดียวหลักๆ มองเฉพาะเรื่องการเงิน คือช่วงก่อสร้างเท่านั้น แต่เมื่อไรก็ตามที่เขื่อนเปิดใช้งานเชิงพาณิชย์ เป็นลักษณะของธุรกิจที่ค่อนข้างปลอดภัยและมีความมั่นคง ฉะนั้นธนาคารหรือเจ้าหนี้จะดูประมาณการทางการเงินปกติ จึงเป็นที่มาว่าในเมื่อมีความมั่นคงมากในสายตาทางการเงิน หลังจากที่เขื่อนเปิดดำเนินการแล้ว เรื่องของการเซ็นสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แทบจะเป็นเงื่อนไขหลักที่ให้ความเชื่อมั่น
หัวหน้าทีมวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทยกล่าวว่า นอกจากนี้ธนาคารจะรู้สึกว่าเป็นการลงทุนขายไฟให้กับ กฟผ. ซึ่งเป็นของรัฐ เป็นการสนองนโยบายรัฐ ไม่ใช่แค่เรื่องของเอกชนตัดสินใจเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ประเทศลาวมีโมเดลการพัฒนาที่อยากเป็น battery of Asia เพราะฉะนั้นเจ้าหนี้ (ธนาคาร) ไม่ใช่แค่สนองนโยบายของประเทศไทย แต่ยังเป็นการช่วยเหลือประเทศลาวให้หลุดพ้นจากความยากจนซึ่งเป็นเหตุผลที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่
สฤณีกล่าวว่า ทุกวันนี้ธนาคารมีเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่ค่อนข้างใหม่ คือหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UN Guiding Principles on Business and Human Rights-UNGP) โดยพบว่าธนาคารไทยชั้นนำทุกแห่งประกาศรับหลักการนี้ ซึ่งเป็นหลักการมาตรฐานสากลสำหรับธุรกิจที่จะเคารพสิทธิมนุษยชน ในเมื่อธนาคารไม่ได้ทำธุรกิจธนาคารแค่จัดสรรเงิน โดยหลักการนี้เขียนค่อนข้างชัดว่าการที่ธนาคาร สถาบันการเงินรับหลักการตัวนี้มาแล้วจะทำตามหลักการชี้แนะ นั่นหมายความว่าต้องเคารพสิทธิมนุษยชนในขอบเขตตัวเอง เช่น ดูแลพนักงาน คู่ค้าและชุมชนใกล้สาขา และต้องมองเรื่องของเงื่อนไขที่จะใช้กับลูกค้าธนาคารด้วย เพราะฉะนั้นความคาดหวังก็คือทาง Fair Finance Thailand ใช้ในการประเมินธนาคาร ในเมื่อธนาคารประกาศรับหลักการก็ได้คะแนนไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นอีก ธนาคารก็ต้องไปบอกลูกค้าด้วยว่า ลูกค้าที่มาขอสินเชื่อโดยเฉพาะโครงการที่มีความเสี่ยงสูงต้องรับหลักการ UNGP ด้วย
เมื่อถามอีกว่า 3 เขื่อนบนแม่น้ำโขงที่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไปแล้วและกำลังก่อสร้างหรือเตรียมก่อสร้าง แต่ยังมีคำถามที่ชาวบ้านยังไม่ได้คำตอบจะมีช่องทางระงับยับยั้งได้หรือไม่ สฤณีกล่าวว่า กรณีเขื่อนปากแบง หลวงพระบาง ปากลาย โดยส่วนตัวมองว่าจะต้องพึ่งกลไกทางกฎหมายหรือไม่ เพราะมีความผิดปกติอยู่พอสมควร คือถ้าเราลองเทียบทำความเข้าใจวิธีกระบวนการที่ผ่านมา ก็ไม่ควรจะรวดเร็วขนาดนี้ ยกตัวอย่าง ร่างสัญญา PPA ต้องเอาเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่จากข่าวแค่ Tariff MOU ซึ่งเป็นเพียงเค้าโครงเท่านั้น ไม่ใช่ตัวร่างสัญญา อันนี้ไม่น่าจะถูกต้อง น่าจะมีการตั้งคำถามทางกฎหมาย ว่าลัดขั้นตอนหรือไม่ อย่างไร

“ล่าสุดคือเขื่อนปากแบง มีการตั้งข้อสังเกตว่าจริงๆ ชาวบ้านกังวลกันมาเป็นหลายปีมาก ประเด็นที่มีการร้องเรียน เช่น รายงานผลกระทบใช้ข้อมูลเก่าไม่ทันสมัย หรือทำไมมีหลายประเด็นที่ชาวบ้านร้องเรียนกันมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ไม่เห็นว่ามีคำตอบ จริงๆบริษัทอาจจะตอบแล้วก็ได้ แต่เราไม่เห็น พอรู้อีกทีก็คือลงนาม PPA แล้ว”สฤณี กล่าว
หัวหน้าทีมวิจัยฯ กล่าวว่า กรณีโครงการเขื่อนปากแบงสิ่งที่น่าสนใจคือ เป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกองทุนใช้คำว่า “กองทุนเยียวยาผลกระทบข้ามพรมแดน” เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ กฝผ.ชี้แจง ถ้าตั้งกองทุนชื่อนี้ก็แปลว่าต้องมีรายงานผลกระทบข้ามพรมแดนที่ใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ก็ควรจะต้องระบุทั้งในส่วนของผลกระทบที่ mitigate (บรรเทา) ว่ามีกลไกแก้ปัญหาได้ และผลกระทบที่แก้ปัญหาไม่ได้ก็คือต้องเยียวยา แต่เหมือนตอนนี้อยู่ดีๆ มีกองทุนนี้ขึ้นมา แต่ชาวบ้านก็บอกว่าข้อมูลในรายงานผลกระทบยังไม่เป็นปัจจุบันเลย
(อ่านสัมภาษณ์สฤณีฉบับสมบูรณ์ได้ที่ https://transbordernews.in.th/home/?p=35586 )
อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่าน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า บริษัทฯขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่13 กันยายน 2566 Pak Beng Power Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และ CDTO (จีน) ในสัดส่วนร้อยละ 49 และ 51ตามลำดับ เพื่อดำเนินโครงการ Pak Bengได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นที่เรียบร้อย โดยสัญญาดังกล่าวมีระยะเวลา 29 ปี นับจากวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 2.7129บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ทั้งนี้ โครงการ Pak Beng มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาเงินกู้กับสถาบันการเงินโดยคาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2576
ด้านนายมานพ มณีรัตน์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 16 ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย กล่าวว่า หากมีการสร้างเขื่อนปากแบง ประชาชนที่อาศัยในหมู่บ้านริมลำน้ำสาขา คนลุ่มน้ำอิงได้รับผลกระทบแน่นอน และฟังในที่ประชุมในการชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรู้ได้ว่าการชดเชยเป็นเพียงภาพหลอกไม่เกิดขึ้นจริง เพราะในที่ประชุมได้สอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเป็นการโยนกันไปมา ไม่มีความชัดเจน ตอนนี้มีความกังวลเรื่องมากเพราะคิดว่ามีผลกระทบแน่นอนแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร และในการประชุมหน่วยงานราชการไม่ได้มีการคุยกันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหากมีการสร้างเขื่อนและมีผลกระทบ
นายสมบูรณ์ อินทรวงค์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านปากอิง อ.เชียงของ กล่าวว่า ถ้าน้ำโขงยกระดับตามการกักเก็บของเขื่อนปากแบงที่ 340 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) น้ำท่วมแน่นอนในฤดูฝน เพราะปกติแล้วลุ่มน้ำอิง หมู่บ้านด้านใน คือ หมู่บ้างทุ่งซาง ดงหลวง บ้านท่าเจริญ ในหน้าน้ำหลากฝนตกน้ำจะท่วมอยู่แล้ว หากมีน้ำโขงยกระดับดันเข้ามาในแม่น้ำสาขา คิดว่าท่วมเป็นวงกว้างแน่นอน ชาวบ้านเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ประท้วงแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่เคยหยิบประเด็นนี้มาสอบถามหรือหารือในการประชุมของชุมชนหรือหน่วยงานเลย เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลว่าจะเป็นอย่างไร
จี้สอบการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 3 เขื่อนยักษ์กั้นโขงรัดขั้นตอนหรือไม่ “สฤณี” แนะใช้กลไกด้านกฎหมาย-กัลฟ์แจงตลาดหลักทรัพย์เผยเตรียมเปิดใช้ปี 76 ชาวบ้านริมโขงสุดเคว้งหวั่นผลกระทบ-หน่วยงานรัฐไม่เคยให้ข้อมูล