
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา นำโดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธาน กมธ.ได้ลงพื้นที่ จ.เชียงรายเพื่อติดตามกรณีสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก สาย รวก โขง
นายนรเศรษฐ์ให้สัมภาษณ์ถึงการบ้านม้งแปดหลัง ต.เทอดไท อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ในวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ว่า สามารถมองเห็นเหมืองทองและเหมืองแร่อื่น ๆ ฝั่งเมียนมาได้ชัดเจน จากการพูดคุยกับชาวบ้านต่างมีความกังวลใจเพราะการขยายของเหมืองเป็นไปอย่างรวดเร็วมากในช่วง 5 ปีที่ผ่าน และอาจล้ำเขตแดนไทย
“ขณะลงพื้นที่คณะกมธ.หลายคนได้กลิ่นคล้ายสารเคมีลอยข้ามแดน แม้ว่าน้ำจากเหมืองที่มองเห็นจะไม่ได้ไหลเข้ามาในหมู่บ้านของไทยในเขตชายแดนที่ติดกันในพื้นที่ แต่ก็มีความเสี่ยงในอนาคตที่น่าห่วงอย่างยิ่ง”ประธาน กมธ.กล่าว
นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า มองจากบ้านม้งแปดหลังพบว่า จากสันดอยที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดน เห็นว่าเหมืองแร่ได้ขยายมาถึงตีนดอย ห่างจากเขตแดนไทยพม่าที่สันดอยประมาณ 100 เมตร และการที่มีกลิ่นคล้ายสารเคมี ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการเข้ามาตรวจสอบ
ทั้งนี้คณะ กมธ.ได้เดินทางไปประชุมรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนชุมชนคลองชนประทาน ต.เกาะช้าง ณ อบต.เกาะช้างซึ่งระบบชลประทานใช้น้ำโดยตรงจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก โดยนายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่รับฟังประเด็นสารปนเปื้อน ยอมรับว่าแหล่งน้ำมีความเสี่ยง ต้องใช้อย่างไม่สบายใจ ตราบใดที่ยังรู้ว่ามีการทำเหมืองแร่ต้นน้ำอย่างไม่มีความรับผิดชอบ เพื่อสร้างความเร่งด่วนของปัญหา เห็นว่าแม้จะมีการเฝ้าระวังอย่างจริงจังมา 6 เดือน แต่ปัญหาที่แท้จริงคือความต้องการแหล่งน้ำทดแทนที่ปลอดภัย และการแก้ปัญหาที่ต้นตอ
“สิ่งที่หน่วยงานราชการชี้แจง มีการขับเคลื่อนในการตรวจตั้งรับ แต่ยัง ขาดการบูรณาการด้านวิชาการ และผลการตรวจของแต่ละหน่วยงานยังไม่ตรงกัน ทำให้ภาพรวมยังไม่ชัดเจน เป็นการทำงานแบบตั้งรับ ไม่ใช่ เชิงรุก” ประธาน กมธ.กล่าว
ในที่ประชุม ชาวบ้านแสดงความกังวลในใช้ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าทางราชการจะบอกว่าน้ำยังมีการปนเปื้อนไม่เกิดค่ามาตรฐาน ขณะที่เกษตรกรได้สะท้อนปัญหาโดยตรง เช่น คลองส่งน้ำชลประทานทั้ง 3 แห่งมีความเสี่ยงสูง แม้ยังไม่กระทบต่อผลผลิตข้าวโดยตรงขณะนี้ แต่มีความกังวลอย่างยิ่งในระยะยาว และถ้าจะให้ใช้การแก้ปัญหาด้วยการสูบน้ำบาดาลนั้น ก็มีปัญหาเรื่องต้นทุนสูงเกินกว่าที่ชาวนาจะรับไหว
ทั้งนี้ผู้นำชุมชน ตัวแทนโบสถ์คริสต์ ชี้ให้เห็นถึง ผลกระทบทางอ้อมที่รุนแรง นั่นคือ สุขภาวะทางจิต ความหวาดกลัวกำลังทำลายเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในชุมชน อย่างไรก็ตามมีขอเสนอของสมาชิกสภาเทศบาลในพื้นที่ เรียกร้องให้มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม เช่น การสร้างแก้มลิง หรือ ระบบดักตะกอนก่อนที่น้ำจะเข้าสู่พื้นที่เกษตรและชุมชน
“อันตรายไม่ใช่แค่ในแม่น้ำ แต่สารพิษอาจแทรกซึมลงสู่น้ำใต้ดินบ่อบาดาลแล้วก็ได้ และ กมธ.ยังเป็นห่วงข้าวนาปีในปีนี้ มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบสารปนเปื้อนโดยตรงแล้วหรือยัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานของภาครัฐยังไม่ลงลึกถึงระดับไร่นาของประชาชนอย่างแท้จริง”ในที่ประชุมระบุ