
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 พะโด่ เกลอ เซ รองโฆษกสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง(Karen National Union-KNU) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กองทัพพม่าโจมตีอย่างหนักหน่วงในพื้นที่เขตยึดครองของ KNU ตามแนวชายแดนไทยตรงข้ามกับจังหวัดตาก ว่าล่าสุดทหารพม่ายังเข้าไปในพื้นที่เลเกก่อไม่ได้ แต่ได้มีการสู้รบในวงกว้างทั้งตามแนวชายแดนและลึกเข้าไปข้างใน
รองโฆษก KNU กล่าวว่า หากเราย้อนดูพื้นที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 เขตจังหวัด/กองพลของ KNU ทุกพื้นที่สู้รบอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สถานการณ์รุนแรงขึ้นเนื่องจากกองทัพพม่าต้องการจัดการเลือกตั้ง โดยพยายามจะให้ชาวบ้านออกมาลงคะแนนเลือกตั้ง รวมถึงขยายพื้นที่เพื่อเตรียมการเลือกตั้ง จึงเกิดการสู้รบต่อเนื่อง ซึ่งบอกได้ว่าการสู้รบเกิดขึ้นเกือบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ตลอดแนวถนนกอกาเร็ก–เมียวดี
“เป้าหมายของพวกเขาคือเตรียมการเพื่อจัดการเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน กองทัพพม่าก็พยายามที่จะยึดคืนพื้นที่ที่พวกเขาอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของ ที่กอกาเร็กตอนนี้ชาวบ้านยังไม่กล้ากลับไปอยู่ แม้กองทัพพม่าและกองกำลังพันธมิตรมีความพยายามที่จะเชิญชวนให้ชาวบ้านกลับไป แต่ชาวบ้านยังไม่กล้าที่จะกลับไปทั้งหมด แล้วถ้าเราดูในพื้นที่แนวถนนกอกาเร็ก-เมียวดี กองทัพพม่ายังไม่สามารถรักษาความปลอดภัยได้ แม้กองกำลังกะเหรี่ยงไม่มีการเคลื่อนไหวตามแนวถนนนี้ แต่พื้นที่รอบข้างมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา”รองโฆษก KNU กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าแนวโน้มภาพรวมสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้งการสู้รบจะรุนแรงขึ้นใช่หรือไม่ พะโด่ เกลอ เซ กล่าวว่า ต้องมองภาพรวมทั้งประเทศ หากมองเพียงพื้นที่บริหารของ KNU เพียงอย่างเดียวคงไม่สมบูรณ์ แน่นอนว่า ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น
“กลุ่มองค์กรชาติพันธุ์ติดอาวุธกลุ่มต่างๆ ไม่ไว้ใจกองทัพพม่า ปัจจุบันจึงยังไม่เห็นแนวทางที่จะนำไปสู่การเจรจากันได้ โดยส่วนตัวของผมจึงเห็นว่า การสู้รบ ความรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้น แม้บางช่วงสถานการณ์จะไม่เป็นข่าวมาก แต่การสู้รบยังดำเนินอยู่และจะทวีความรุนแรงขึ้น”รองโฆษก KNU กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงหลังนี้กองทัพพม่ามีความเข้มแข็งขึ้นน่าจะมีสาเหตุจากอะไร พะโด่ เกลอ เซ กล่าวว่า กองทัพพม่ามีกำลังพลมากขึ้น โดยมีอาวุธยุทธปกรณ์ที่ทันสมัยขึ้นจากการสนับสนุนของต่างประเทศ อย่างไรก็ตามกำลังพลส่วนใหญ่ถูกบังคับเกณฑ์มาจึงขาดขวัญกำลังใจ แตกต่างกับกองกำลังชาติพันธุ์ที่แม้มีคนน้อยกว่า แต่อุดมการณ์และประสบการณ์การรบสูงกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัจจุบันกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง(Karen Border Guard Force-BGF) และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตยหรือดีเคบีเอ (Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) ประกาศสนับสนุนการเลือกตั้ง เป็นสาเหตุที่ทำให้แนวรบเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ รองโฆษก KNU กล่าวว่า จุดยืนของกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มอื่นๆที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ตนไม่อยากวิจารณ์ แต่ต้องย้อนกลับไปมองว่า กลุ่มกะเหรี่ยงเหล่านี้ได้แยกตัวจาก KNUไปตั้งแต่ปี 1994–1995 โดยมีกองทัพพม่าอยู่เบื้องหลัง และใช้ประโยชน์จากพวกเขา เมื่อกองทัพพม่าเริ่มควบคุมพวกเขาไม่ได้ ก็หาวิธีกดดันให้กองกำลังเหล่านั้นกลับมาอยู่ในอิทธิพลของตน ดังนั้น พวกเขาจึงต้องละทิ้งความร่วมมือและสิ่งที่ได้ตกลงพูดคุยกันไว้
“บอกได้ว่ากองทัพพม่ายังอยู่เบื้องหลังของพวกเขา จึงนำพาให้สถานการณ์เป็นไปอย่างที่เห็นตอนนี้ ในอนาคตก็คิดว่าจะยังคงเป็นแบบนี้ เราจึงต้องคิดว่า ในอนาคตจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร”พะโด่ เกลอ เซ กล่าว
วันเดียวกันศูนย์ข้อมูลกะเหรี่ยง (Karen Information Center -KIC )รายงานว่า กองทัพเมียนมาพยายามเปิดยุทธการภาคพื้นดินอย่างต่อเนื่องในพื้นที่เลเกก่อ พื้นที่ทางตอนใต้ของเมืองเมียววาดี เพื่อยึดคืนเนินเขาส่วยตออามยาโกน ที่ก่อนหน้านี้เคยสูญเสียให้กับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน แต่ยังไม่สามารถรุกคืบเข้าไปได้โดยตั้งแต่วันที่ 21- 25 กันยายน กองทัพเมียนมาได้ใช้ยุทธวิธี “เคลียร์พื้นที่” โดยยิงจรวด MiG-Zine ระดมยิงด้วยปืนใหญ่ ทิ้งระเบิดทางอากาศ และโจมตีด้วยโดรน เพื่อเปิดทางให้กองกำลังภาคพื้นรุกเข้าสู่เลเกก่อ
อย่างไรก็ตาม กองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง(Karen National Liberation Army–KNLA) ของ KNU ร่วมกับกองกำลังพันธมิตรคือกองกำลังพิทักษ์ประชาชน ( People’s Defence Force: PDF) ได้ตอบโต้โดยใช้ยุทธวิธีหลบเลี่ยงการโจมตีทางอากาศ ก่อนจะโจมตีตอบโต้กลับกองทัพเมียนมาในภาคพื้นดิน ทำให้กองทัพได้รับความสูญเสีย
“พวกเขาพยายามจะขึ้นมาทางเลเกก่อเพื่อตั้งฐานที่เนินเขาส่วยตออีกครั้ง แต่ก็ถูกเรายิงถอยกลับไปหลายรอบ กองทัพเมียนมาใช้หน่วยทหารจากกองพันที่ 22 และ 55 รวมทั้งหน่วยจากกองบัญชาการชายฝั่ง เข้าร่วมกับหน่วยจากฐานที่มั่นเมืองเมียวดี ได้แก่ กองกำลัง 275, กองกำลังจากเขาและขัตต่อง และกลุ่ม มิตตาเลเหมี่ยน และ แม่ทอตะเล เพื่อรุกตลอดเส้นทางเมียวดี–วอเลย์” KIC อ้างคำพูดจากแหล่งข่าวทางทหาร
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดนไทยกล่าวว่า ทหารพม่าพยายามรุกคืบจากบริเวณด้านทิศตะวันตก, ทิศเหนือ และทิศตะวันออก เข้าไปยังบริเวณพื้นที่บ้านเลเกก่อ และบ้านทีแม๊ะวาคี ตอนใต้ของเมืองเมียวดี ด้านตรงข้าม บ้านใหม่แม่โกนเกน ม.2 ต.มหาวัน อ.แม่สอด ห่างจากแนวชายแดน 5 กม. และได้เกิดการปะทะกับ กองกำลังกลุ่มต่อต้านโดยทั้ง 2 ฝ่ายได้ใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ทิ้งระเบิดเพื่อสนับสนุนการโจมตี ของฝ่ายตน และในระหว่างการปะทะ ทหารพม่าฐานแล็คคัดต่อง ได้ทำการยิงอาวุธหนักเป็นระยะ ๆ เข้าไปยังเป้าหมายในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
“ช่วงเย็นทหารพม่าใช้อากาศยาน (แบบ YAK-130) จำนวน 2 ลำ ทิ้งระเบิด จำนวน 3 ลูก โจมตี ทหารกลุ่มต่อต้านฯ บริเวณพื้นที่บ้านเลเกก่อ และบ้านทีแม๊ะวาคี แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถนำกำลังรุกคืบเข้าไปยังบริเวณพื้นที่ดังกล่าวได้ โดยทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังเผชิญหน้า และมีการปะทะกันอยู่เป็นระยะ ๆ และไม่มีผลกระทบต่อฝั่งไทย”แหล่งข่าว กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเสียงปืนและระเบิดจากการสู้รบอย่างต่อเนื่องตลอด 3 วันที่ผ่านมาได้ยินชัดเจนในฝั่งไทยด้านอำเภอแม่สอด โดยล่าสุดมีรายงานว่าโดรนของกองทัพเมียนมาที่ใช้โจมตีพลาดเป้าหมายและไปตกใส่ KK Park ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีธุรกิจผิดกฎหมายในความดูแลของ BGF เมื่อวันที่ 24 กันยายน โดยสถานการณ์การสู้รบส่งผลให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงกว่า 3,000 คน ในหมู่บ้านรอบ ๆ เลเกก่อ รวมกว่า 8 หมู่บ้าน ต้องอพยพหนีภัยสงครามไปตั้งถิ่นฐานชั่วคราวตามแนวแม่น้ำเมย และพื้นที่โดยรอบ