เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่งใน 4 จังหวัดชายแดนคือแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรีและราชบุรี ออกมาทำงานข้างนอกได้ว่า จะเริ่มเปิดดำเนินการจริงจังในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 หลังจากที่ได้มีประกาศกระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทยแล้ว โดยมีขั้นตอน 1.ขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวในศูนย์พักพิงชั่วคราว 4.2 หมื่นคน และกรมการปกครองได้สำรวจผู้ที่ประสงค์จะทำงานพบว่ามีอยู่ประมาณ 1.2 หมื่นคน 2.นายจ้างที่ประสงค์จ้างต่างด้าวก็จะไปคัดเลือกลูกจ้างในศูนย์พักพิงชั่วคราวฯแล้วนำรายงชื่อแรงงานต่างด้าวมาแจ้งที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนั้นๆ ว่าจะนำแรงงานต่างด้าวไปทำงานที่ใด ซึ่งสำนักงานจัดหางานจังหวัดนั้นก็จะส่งข้อมูลไปยังจังหวัดปลายทางที่แรงงานต่างด้าวจะไปทำงาน
นายพิเชษฐ์กล่าวว่า 3.นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปแจ้งที่ตัวแทนกรมการปกครองเพื่อขออนุญาตพาแรงงานต่างด้าวออกจากพื้นที่และได้ใบ อน.1 และฝ่ายปกครองก็จะออกหนังสืออนุญาตให้ 4.แจ้งจังหวัดปลายทางว่าได้เข้าพื้นที่แล้ว 5.นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปตรวจสุขภาพและทำประกันสุขภาพโดยโรงพยาบาลรัฐ 6.ขอใบอนุญาตทำงาน (work permit) และทำงานได้เลย
ผู้สื่อข่าวถามว่าแรงงานต่างด้าวเดินทางไปคนเดียวโดยไม่มีครอบครัวเป็นผู้ติดตามใช่หรือไม่ นายพิเชษฐ์กล่าวว่า ใช่เพราะเป็นการเดินทางไปทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ป้องกันไว้อย่างไรกรณีนายหน้าที่สวมตัวเป็นนายจ้างและไปเอาแรงงานต่างด้าวมาขายต่อ นายพิเชษฐ์กล่าวว่า เมื่อมีการมาแจ้งว่าต้องการลูกจ้างก็จะมีการสัมภาษณ์และแสดงตัวตนที่จังหวัดต้นทาง
“เบื้องต้นตัวเลขยังแค่ 1 หมื่นคน กรมการปกครองสำรวจความต้องการเบื้องต้นแล้ว แต่พอเห็นเพื่อนๆออกไปทำงานข้างนอกก็อาจมีความประสงค์เพิ่มขึ้น และตัวเลขอาจขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”นายพิเชษฐ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่านายจ้างต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า แทบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงแต่เสียค่าธรรมเนียม 100 บาท
“เรื่องประกันสุขภาพนั้น ถ้าเป็นกิจการที่อยู่ในประกันสังคมก็ต้องทำประกันสังคม แต่กว่าประกันสังคมจะใช้ได้ต้องใช้เวลา 6 เดือน ดังนั้นจึงต้องทำประกันสุขภาพก่อน แต่ประเภทที่ไม่ได้เป็นกิจการในประกันสังคมก็ต้องทำประกันสุขภาพ”นายพิเชษฐ์ กล่าว
นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า ยังรู้สึกกังวลใจกรณีที่ให้นายจ้างเข้าไปหาแรงงานในค่ายผู้ลี้ภัย เพราะโดยวิธีปฎิบัติแล้วนายจ้างจะไปด้วยตัวเองจริงหรือไม่หรือจะใช้บริการนายหน้าแทน และหากใช้ระบบนายหน้าแล้วจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ เพราะจริงๆแล้ว ครั้งนี้ไม่ควรเสียค่าใช้จ่ายใดๆนอกจากค่าธรรมเนียมหรือค่าตรวจสุขภาพเท่านั้น
“จริงๆแล้วผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยเขาเคยออกมาหางานทำข้างนอก พวกเขามีเครือข่ายคนทำงานอยู่ หากเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แมชชิ่ง(จับคู่)กันก่อนจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยตัดระบบนายหน้าออกไปได้ ควรมีการระบุค่าใช้จ่ายต่างๆไว้ให้ชัดเจน และทำสัญญาจ้างให้ชัดเจนด้วย” นายอดิศร กล่าว